tag:blogger.com,1999:blog-40104962504790417572024-02-07T04:54:01.475-08:00เกี่ยวกับประเทศไทยพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.comBlogger24125tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-33708380707082026212012-05-22T03:05:00.001-07:002012-05-22T03:46:45.661-07:00<b><span style="background-color: lime; font-size: large;">การเกษตรของไทย</span></b><br />
<br />
<img src="http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/1297_1.jpg" /> <br />
<span style="background-color: yellow;"><span style="font-size: x-large;">ภ</span>าคเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดรายได้แล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศยังมีอาชีพทำการเกษตร และผลการพัฒนาการเกษตรที่ผ่านมา พบว่ารายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยรวมดีขึ้น แม้แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาภาคการเกษตรได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาคอื่น ๆ ของประเทศ เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายหลายด้าน รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรทำการเกษตรในแนวทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาบ้างแล้ว</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างของรายได้จากคนในภาคการเกษตรและภาคผลิตอื่นมาก ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตสินค้าเกษตร ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัฒน์ การรวมตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศแบบบทวิภาคีและพยุหภาคี ได้ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อภาคการเกษตรและเกษตรกรของไทย ทำให้ประเทศไทยต้องมีการปรับตัวรับสถานการณ์โดยเฉพาะเกษตรกร</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ยกร่างแผนพัฒนาการเกษตร เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานของภาคเกษตร ซึ่งเน้นนโยบายให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา โดยใช้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเกษตรกรรายย่อย หรือเกษตรกรที่มีที่ดินทำกินน้อยจะส่งเสริมการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ผลิตเพื่อเป็นฐานให้พึ่งเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรกรขนาดกลาง หรือเกษตรกรก้าวหน้า ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายดำเนินการรวมพลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์ ให้ความสำคัญกับการผลิตจากองค์ความรู้และวิทยการสมัยใหม่ที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีพื้นฐานและภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน สำหรับเกษตรกรรายใหญ่ หรือเกษตรพาณิชย์ เน้นการอำนวยความสะดวกทางการค้าและพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยมี</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> วิสัยทัศน์ ดูแลเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่พอเพียง และผาสุก</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> พันธกิจ ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทุกครัวเรือน พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความผาสุก โดยมีดัชนีชี้วัดความผาสุกของเกษตรกร 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขอนามัย ด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีมาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> </span><br />
<b style="background-color: yellow;"> เป้าหมาย </b><br />
<span style="background-color: yellow;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: yellow;">(1) ครัวเรือนเกษตรยากจนลดลงเหลือร้อยละ 4 ในปี 2554</span><br />
<span style="background-color: yellow;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: yellow;">(2) ครัวเรือนเกษตรไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4 ทำการเกษตรตามแนวเศรษฐกิจ พอเพียง</span><br />
<span style="background-color: yellow;">(3) สนับสนุนให้ครัวเรือนเกษตรลดการใช้สารเคมีในฟาร์ม</span><br />
<span style="background-color: yellow;">(4) อัตราการเติบโตของสาขาเกษตรเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี</span><br />
<span style="background-color: yellow;">(5) ฟาร์ม / โรงงานที่ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารมีมาตรฐาน</span><br />
<span style="background-color: yellow;">ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> 1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> 2. พัฒนาสินค้าเกษตร</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> 3. บริหารจัดการทรัพยากรเกษตร</span><br />
<span style="background-color: yellow;"> 4.การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ</span><br />
<span style="background-color: yellow;">* หมายเหตุ ร่างแผนพัฒนาการเกษตรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา</span><br />
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/pMWrFGpQyu8" width="420"></iframe><br />
<br />
<span style="background-color: cyan;">อ้างอิง http://gms.oae.go.th/Z_Show.asp?ArticleID=105</span>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-7759851327457739082012-05-22T02:56:00.001-07:002012-05-22T03:47:58.367-07:00แนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมในปี 2555 <img src="http://www.intania60.com/images_upload/20111141713411.jpg" /> <br />
<span style="background-color: #3d85c6;">แนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมในปี 2555 ว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมปี 2555 มีโอกาสขยายตัวมากกว่าปี 2554 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากต้นปีเป็นต้นไป โดยภาวะอุตสาหกรรมในไตรมาส 1 ปี 2555 ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2554 แต่ในไตรมาส 2 ปี 2555 จะเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่การขยายตัวยังมีไม่มาก เพราะอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 คาดว่าจะเติบโตได้ดีและมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐ ซึ่งคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อุตสาหกรรมปี 2555 จะขยายตัว 5-6% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 6-7% และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65-68 %</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าโรงงานที่ถูกน้ำท่วมครั้งนี้ จะฟื้นฟูก่อนสิ้นไตรมาส 2 แต่ในภาพรวมเชื่อว่าการฟื้นฟูโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจะเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยในเดือนม.ค. 2555 โรงงานที่ถูกน้ำท่วมจะเริ่มผลิตได้ประมาณ 70% และจะค่อยผลิตได้เต็มที่มากขึ้นยกเว้นโรงงานที่ได้รับความเสียหายมาก ซึ่งถ้ามีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้เร็วจะช่วยให้การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมได้เร็วเช่นกัน</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">สำหรับการลงทุนภาครัฐจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย โดยงบประมาณจะถูกนำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม ซ่อมแซมสาธารณูปโภคที่เสียหายและการลงทุนป้องกันน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งทำให้การใช้จ่ายภาครัฐมีความสำคัญและมีส่วนช่วยให้การบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น รวมทั้งจะเกิดการเร่งผลิตในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการในช่วงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมไทย มาจากเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและมีโอกาสที่การส่งออกจะชะลอตัวลงจากปี 2554 โดยตลาดหลักของไทยอาจจะมีปัญหา เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวนาน และเศรษฐกิจอียูได้อ่อนแอลงมากจึงฉุดเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ทั้งนี้ ตลาดเอเชียและอาเซียนจะช่วยลดผลกระทบของการส่งออกไทย รวมทั้งอาจได้รับปัจจัยเสี่ยงจากเงินบาทแข็งค่า เพราะเงินทุนจากต่างประเทศจะไหลเข้ามามากขึ้นผ่านบริษัทประกันข้ามชาตินับแสนล้านบาทและเงินทุนที่เข้ามาเพื่อฟื้นฟูกิจการที่ถูกน้ำท่วมในไทย และอาจได้รับปัจจัยลบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 300 บาท จะทำให้อุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานมากมีต้นทุนค่าจ้างสูงขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น และยกระดับคุณภาพสินค้าให้เป็นระดับพรีเมียมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความโดดเด่นของสินค้าไทยให้แข่งขันกับต่างชาติได้</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">หากพิจารณารายอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดีในปี 2555 จะเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่มีความเพิ่มขึ้นเพื่อซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน อาคารและบ้านเรือน ซึ่งผู้ประกอบการได้เตรียมการผลิต รองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นมากในช่วงไตรมาส 1-2</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า จะมีความต้องการเหล็กทรงยาวที่ใช้ในการก่อสร้างมากขึ้น และยังมีการผลิตมากขึ้นเพื่อรักษาสต็อกที่ลดลงในช่วงปลายปี 2554 สำหรับเหล็กทรงแบนคาดว่าจะมีความต้องการใช้ลดลงเนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องถูกน้ำท่วม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ โดยทำให้ความต้องการใช้เหล็กทรงแบนลดลงด้วย</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม จะเริ่มมีภาวะการผลิตที่ดีขึ้น โดยอุตสาหกรรมยานยนต์คาดว่าจะมีการผลิต 2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ผลิตได้ 1.5 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 33% ซึ่งโรงงานผลิตรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมคาดว่าจะกลับมาผลิตได้ในไตรมาส 2 ปี 2555 มีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนสายการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ก่อนหน้านี้ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปเอเชีย และได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล แต่ปัจจัยอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันอาจมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภค</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่ายังมีการขยายตัวแต่ไม่มาก จากการขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ได้รับความเสียหาย จากน้ำท่วมจะมีความต้องการเพื่อชดเชยกับส่วนที่เสียหาย เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากสินค้าไอทีประเภทใหม่ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐและอียูที่มีความต้องการไม่แน่นอนและส่งผลต่อความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">อุตสาหกรรมอาหารมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากความต้องการสินค้าอาหารไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยการส่งออกอาหารในปี 2555 คาดว่าจะขยายตัว 7.8% มูลค่า 28,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตลาดสหรัฐและอียูที่เป็นตลาดหลักยังมีความต้องการอาหารจากไทย แต่ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกับอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เงินบาทแข็งค่า การลดค่าเงินของประเทศคู่แข่ง มาตรการกีดกันทางการค้า ส่วนการบริโภคอาหารภายในประเทศอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ต่อความต้องการสินค้าของผู้บริโภคลดลง</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">อย่างไรก็ตาม มีอุตสาหกรรมที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งมีแนวโน้มการผลิตเส้นใย ผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดหลักทั้งสหรัฐ อียูและญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดส่งออกมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จากคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า และความผันผวนของราคาฝ้ายที่เป็นวัตถุดิบหลักของสินค้า และโรงงานสิ่งทอรายใหญ่บางแห่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ต้องหยุดผลิตชั่วคราว จึงมีผลต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ทอผ้า ฟอกย้อม</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ส่วนโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่ตั้งอยู่ถนนเพชรเกษม ถนนเอกชัย-บางบอนและถนนพุทธมณฑล โดยส่งผลต่อการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2554 ต่อเนื่องถึงปี 2555</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: #3d85c6;">ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นส่งผลให้เสียโอกาสทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ประเทศในอาเซียนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งกำลังการผลิตที่ลดลงในช่วงน้ำท่วมและช่วงการฟื้นฟูโรงงานจะทำให้คู่แข่งชิงคำสั่งซื้อจากคู่ค้าได้มากขึ้น </span><br />
<div><br />
</div><div>อ้างอิง <a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20120102/427481/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2555.html">http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20120102/427481/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2555.html</a></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-48984500011410121692012-05-22T02:35:00.003-07:002012-05-22T03:49:58.050-07:00<span style="background-color: blue; font-size: large;">การศึกษาของไทยในกรอบอาเซียน</span><br />
<br />
<img alt="UploadImage" src="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20120216111220.jpg" /> <br />
<br />
<span style="background-color: lime;"><span style="font-size: x-large;">การ</span>เข้าสู่ประชาคมอาเซียน หลายคนอาจจะมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้ทั้งในการเตรียมตัวการใช้ชีวิต การทำงาน ซึ่งรวมไปถึงสำหนับน้องๆที่ต้องเตรียมปรับตัวทั้งด้านการเรียน และการวางแผนการเลือกอนาคต การเรียนต่อ วันนี้ศูนย์ข่าวการศึกษาไทยได้นำความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนในด้านการศึกษาของไทย มารายงานให้ทราบ</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดกรอบและแนวทางในการปฏิบัติด้านการศึกษาของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนใน ปี 2558 ที่จะถึงนี้ โดยกำหนดกรอบอาเซียนแนวทางการศึกษาไทยดังนี้</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">1.สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินงานภายใต้กรอบรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน กรอบประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เสริมสร้างความตะหนักเกี่ยวกับอาเซียน และการจัดตั้งสถาบันนานาชาติเพื่อพัฒนาผู้บริหารการศึกษา</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">2.สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโครงการ Education Hub School และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ Spirit of ASEAN (Sister/Partner School และ Buffer School) สำหรับกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2554 คือการพัฒนาหลักสูตรและสื่อเกี่ยวกับอาเซียน รวมทั้งกิจกรรมค่ายเยาวชนเพื่อการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">3.สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษามาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ไทย การประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้านการอุดมศึกษา และการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษาอาเซียน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">4.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โครงการเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เกษตรนานาชาติ จัดการเรียนการสอนบริการสังคมร่วมกับนักศึกษาสิงคโปร์ โครงการแลกเปลี่ยนกับ Institute Of Technical Education Collage Eastสิงคโปร์ โครงการพัฒนาโรงเรียนเทคนิคลาว แลกเปลี่ยนนักศึกษาทวิภาคีระดับ ปวส.กับบรูไนฯ โรงเรียนพระราชทานฯ วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลกัมพูชา ร่วมมือกับ SEAMEO SEAMOLEC ประเทศอินโดนีเซีย จัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">5.สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา จัดโครงการสัมมนาการวิจัยการศึกษาไทย-มาเลเซีย บรรยายทางวิชาการเรื่องความตะหนักเรื่องการก้าวสู่อาเซียน บรรยายเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนและคนด้อยโอกาสให้กับผู้แทนมาเลเซีย โครงการพัฒนานโยบายการศึกษาสู่อาเซียน:กรณีศึกษาไทย-ลาว-เวียดนาม โครงการความร่วมมือไทย-ลาว โครงการความร่วมมือไทย-เวียดนาม</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">6.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จัดศูนย์การเรียนรู้ชุมชนให้ประเทศเพื่อนบ้าน อบรมเทคนิคการจัดนิทรรศการ การนำเสนอข้อมูล ส่งเสริมความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนในศูนย์วิทยาศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้าน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">7.สำนักบริหารงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เรื่องอาเซียนแก่บุคลากร ใน สช.และโรงเรียนเอกชน สนับสนุนโรงเรียนเข้าแข่งขันกีฬาประถมศึกษาอาเซียนครั้งที่ 3 ที่ประเทศอินโดนีเซีย โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนมัธยมศึกษาปี 2552 กับสิงคโปร์ ร่วมสัมมนาวิชาการและนิทรรศการ การศึกษาไทยที่ประเทศเวียดนาม</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">8.สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา คุรุสภาได้เข้าร่วมเป็นภาคีองค์กรสมาชิกสภาครูอาเซียน โดยร่วมกับองค์กรครูในกลุ่มประเทศอาเซียน 5ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 ปัจจุบันมีภาคีสมาชิก 23 องค์กรจาก 9 ประเทศ</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">9.เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนนักศึกษาภายในอาเซียน มีการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินหลักสูตรในสาขาวิชาต่างๆ เช่น เคมี คอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังได้พิจารณาแนวทางการดำเนินงานตามปฏิญญาอาเซียนด้านการศึกษาเพื่อกำหนดเป็นนโยบายดังนี้</span><br />
<span style="background-color: lime;">1.การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียน เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อม ของครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">2.การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ให้มีทักษะที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนเช่นความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">3.การพัฒนามาตรฐานการศึกษาเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษาและครูอาจารย์ ในอาเซียน รวมทั้งให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่างๆและการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกอาเซียน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">4.การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีทางการศึกษาในอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">5.การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน</span><br />
<span style="background-color: lime;"><br />
</span><br />
<span style="background-color: lime;">รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้องค์กรหลักเตรียมจัดทำแผนการดำเนินงานและแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการรองรับในเรื่องดังกล่าว โดยให้พิจารณาถึงระบบการศึกษาในอาเซียนและ นโยบายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริงในอาเซียนต่อไป.</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan;">อ้างอิงhttp://<strong style="font-family: 'Helvetica Neue', Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 16px; text-align: left;">www.enn.co.th ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย</strong></span>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-12833005123072308672012-05-22T02:09:00.001-07:002012-05-22T02:10:56.749-07:00ปัญหาน้ำท่วมปี 2554 จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง<span style="font-size: large;"><br />
</span><br />
<img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAYt2WBASpFZdMhWz8E8S2hmGuj1OUJetfQlVNBr_JbWhTc23cim5UGlIYsdqohXtSz5tLmlbN4BTH9AgpUWlg1N-3PwcxkFq23Yd_fUbDB-b4rfYo_S4iAyhnozb2z2JB9Nh7RtEJOkY/s1600/315007_240292442690709_100001298657012_615076_525671730_n.jpg" /> <br />
<div style="text-align: justify;"><span style="font-size: x-large;"> ภัย</span>พิบัติน้ำท่วมที่รุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในรอบหลายสิบปี ยังคงสร้างความเสียหายในจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และขณะนี้ ก็กำลังกระชับพื้นที่เข้ามายังมหานครกรุงเทพฯ อย่างไม่ลดละ ล่าสุด ข้อมูลจากทางการเปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 500 คนแล้ว มีการประเมินค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วมครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท หรือประมาณ 3 เปอร์เซนต์ของจีดีพี ซึ่งผู้เชียวชาญบางท่านได้ประเมินว่า ความบอบช้ำทางเศรษฐกิจครั้งนี้ เสียหายมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 มากกว่าหลายเท่าตัว ยังไม่ต้องพูดถึงความเสียหายทางจิตใจ และความเป็นอยู่ของประชาชนหลายแสนที่ทรัพย์สินเกือบทั้งชีวิตลอยหายไปในพริบตาเดียว ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามว่า ตกลงน้ำท่วมครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ และยังสงสัยว่า ปีหน้าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับพวกเขาอีกหรือไม่ ถ้ามาแล้วจะต้องรับมือกันอย่างไร รัฐบาลมีแผนป้องกันภัยพิบัติหรือไม่ ตกลงนิคมอุตสาหกรรมควรจะย้ายหรือเปล่า หากแต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากหน่วยงานไหนที่ชัดเจน และก็น่าสงสัยว่า พวกเขาจะได้รับคำตอบเหล่านี้ในอนาคตบ้างไหม หนึ่งในข้อเสนอของการจัดการภัยพิบัติคราวนี้ คือ ให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสืบหาและสรุปข้อเท็จจริง ซึ่งทำหน้าที่สอบสวนและเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เพื่อเปิดเผยแก่สาธารณชน และการวางแผนป้องกันภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทยที่ไม่ค่อยจะมีคณะกรรมการอิสระที่เคยทำงานได้จริงนั้น การหันไปดูประเทศอื่นเพื่อศึกษาแนวทางการจัดการภัยพิบัติ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย กรณีศึกษาจากออสเตรเลีย กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ คือเหตุการณ์น้ำท่วมในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมปี 2554 กล่าวกันว่าเป็นภัยทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดของออสเตรเลียในรอบ 200 ปี ซึ่งได้คร่าชีวิตคนไปกว่า 30 คน และทำให้ประเทศเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บางพื้นที่ของรัฐควีนส์แลนด์ซึ่งมีประชากรราวหนึ่งล้านสี่แสนคนนั้น จมอยู่ใต้น้ำที่สูงกว่า 4 เมตร น้ำท่วมในเมืองอิปสวิช (Ipswich) รัฐควีนส์แลนด์ ภาพจาก lordphantom74 (CC BY 2.0) เมื่อกลางเดือนมกราคม ก่อนที่อุทกภัยดังกล่าวจะสิ้นสุดเสียอีก รัฐบาลของแคว้นควีนส์แลนด์ ก็มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความจริง (Commission of Inquiry) เกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วม โดยตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งควีนส์แลนด์ แคเธอรีน โฮล์มส์ เป็นประธานคณะกรรมการ โดยมีจิม โอซัลลิแวน อดีตอธิบดีกรมตำรวจควีนส์แลนด์ และฟิลลิป คัมมินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเขื่อน เป็นรองประธาน คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจออกหมายเรียก และหมายค้นใครก็ได้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมาเป็นพยานและให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการค้นหาความจริงกรณีอุทกภัยในควีนส์แลนด์ คณะกรรมการอิสระดังกล่าว มีหน้าที่สอบสวนในหลายประเด็น เช่น ความพร้อมของหน่วยงานต่างๆ ในการรับมือภัยพิบัติ, การจัดการระบบเขื่อน, การพยากรณ์อากาศและระบบเตือนภัย, ความเหมาะสมของการวางผังเมือง ไปจนถึงตรวจสอบการทำงานของบริษัทประกันภัย โดยข้อเท็จจริงที่ได้ต้องผลิตออกมาเป็นรายงานเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยกำหนดให้รายงานขั้นกลาง (interim report) ส่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ฝีมือมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ? ในขณะที่สื่อมวลชนบางฉบับในเมืองไทยยังคงโหมข่าวว่า สาเหตุของอุทกภัยครั้งนี้ เป็นเพราะสยามเทวาท่านลงโทษเพราะมีผู้นำหญิงนำกาลีมาสู่เมือง สื่อมวลชนหัวใหญ่ของออสเตรเลียอย่าง ดิ ออสเตรเลียน (The Australian) ได้เข้าถึงข้อมูลในเดือนมกราคม 2554 ที่เปิดเผยว่า น้ำที่ไหล่บ่าเข้าท่วมควีนส์แลนด์ราว 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากเขื่อนวิเวนโฮ (Wivenhoe Dam) ที่กักเก็บน้ำไว้มากเกินไปช่วงปลายปีในฤดูฝน (ฤดูฝนของออสเตรเลียอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน) ประกอบกับปรากฏการณ์ “ลา นินญ่า” (La Nina) ที่นำพายุไซโคลนเข้ามาสู่ทวีปพร้อมปริมาณน้ำฝนที่มากที่สุดที่เคยมีมาของออสเตรเลีย ทำให้มวลน้ำปริมาณมหาศาลไหลบ่าเข้าท่วมเมืองสามในสี่ของรัฐควีนส์แลนด์จนไม่เหลือชิ้นดี ข้อสงสัยที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยหนังสือพิมพ์ ดิ ออสเตรเลียนนี้ ทำให้รัฐบาลบรรจุเรื่องการจัดการน้ำในเขื่อน เป็นวาระหลักในการสอบสวนของคณะกรรมการค้นหาความจริงด้วย น้ำท่วมในเมืองอิปสวิช รัฐควีนส์แลนด์ ภาพจาก Jim yes that is me (CC BY 2.0) หลังจากน้ำท่วมไม่ถึง 8 เดือน ในวันที่ 1 สิงหาคม 2554 รายงานสรุปข้อเท็จจริง ก็ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน และได้ข้อสรุปว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นมีส่วนมาจากการปล่อยน้ำในเขื่อนไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องไว้หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การสื่อสารระหว่างกระทรวงทรัพยากรน้ำ และกรมที่เกี่ยวข้องที่ไม่ชัดเจน นำไปสู่การจัดการภัยพิบัติไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที การคำนวณปริมาณน้ำฝนในช่วงปลายปีที่ผิดพลาดของวิศวกรเขื่อนและกรมอุตุนิยมวิทยา ทำให้การปล่อยน้ำจากเขื่อนมีมากเกินไปในระยะเวลาอันสั้น การมีมาตรวัดปริมาณน้ำที่ติดตั้งไม่ทั่วถึงบริเวณเขื่อน ทำให้การวัดปริมาณระดับน้ำมีความคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ สื่อบางฉบับยังตั้งคำถามกับซอฟท์แวร์การจัดการทรัพยากรของกระทรวงน้ำที่มีอายุมากถึง 15 ปีด้วย บุคคลเกี่ยวข้องโดยตรง อย่างรัฐมนตรีกระทรวงน้ำของออสเตรเลีย สตีเฟน โรเบิร์ตสัน ได้กล่าวในระหว่างการไต่สวนสาธารณะว่า ถึงเขาจะรับทราบว่าเขื่อนวิเวนโฮควรจะปล่อยน้ำออกมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้มีที่ว่างในการรับปริมาณน้ำฝน แต่ก็ยอมรับว่า ทางกระทรวงไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว ส่วนต่อคำถามที่ว่ากรมของเขาทำงานผิดพลาดหรือไม่ เขาตอบว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่ต้องไปสอบสวนและหาข้อสรุปด้วยตัวเอง การที่คณะกรรมการอิสระดังกล่าว มีอำนาจในการออกหมายเรียกพยานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการสอบสวนกรณีน้ำท่วม ทำให้มีการเรียกบุคคลอย่างน้อย 250 คน เข้ารับการไต่สวนสาธารณะ ทั้งจากกระทรวงน้ำ วิศวกรเขื่อน เจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น ไปจนถึงเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัย และแจกแจงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองที่มีต่อการจัดการน้ำในช่วงดังกล่าวต่อคณะกรรมการ นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีรับฟังสำหรับประชาชนที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องการจะมาให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ด้วย ผู้ว่าการรัฐควีนส์แลนด์ แอนนา ไบลฮ์ กล่าวถึงความสำคัญของการตั้งคณะกรรมการอิสระนี้ว่า นอกจากจะทำให้เราสามารถสรุปปัญหาของการจัดการน้ำในเขื่อนแล้ว ยังทำให้เราสามารถวางแผนในอนาคตเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอยได้ “คณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความจริง ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่สำคัญ คือ จะไม่มีก้อนหินก้อนไหนที่ไม่ถูกตรวจสอบ หากมันเกี่ยวข้องกับการตอบคำถามของประชาชนต่อภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการเขื่อนวิเวนโฮ หรือเหตุการณ์โชคร้ายที่แม่น้ำล็อกเกอร์ก็ตาม” ไบลฮ์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เอบีซี “เราจำเป็นต้องถอดบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ เพื่อที่เราจะได้ป้องกันตัวเองให้พร้อมกว่านี้ในอนาคต เราต้องให้เกียรติผู้คนที่เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าจากหายนะ และในการทำเช่นนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น” เธอกล่าว ในขณะนี้ คณะกรรมการอิสระที่ค้นหาความจริงกรณีน้ำท่วมควีนส์แลนด์ ยังคงทำหน้าที่ต่อไป และมีหน้าที่ส่งรายงานฉบับสุดท้ายในเดือนมิถุนายนปี 2555 โดยจะสืบสวนในเรื่องการวางผังเมือง และผลิตข้อเสนอแนะเรื่องการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะยาวเพิ่มเติม ในขณะที่รายงานขั้นกลาง มีจุดประสงค์เพื่อหาข้อสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันและวางแผนภัยพิบัติก่อนฤดูฝนในปีถัดไป อันที่จริง วิวาทะเรื่องสาเหตุของน้ำท่วมว่ามาจากธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์นั้น ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นแค่ประเทศไทยที่เดียว แต่ในประเทศอินเดียซึ่งประสบภัยน้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มีการถกเถียงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน วิวาทะร้อนในอินเดีย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ของอินเดียหลายฉบับ ได้ตีพิมพ์การโต้ตอบระหว่างนักวิชาการ-นักเคลื่อนไหว และเจ้าหน้าที่รัฐ เกี่ยวกับกรณีน้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนกันยายน 2554 ในรัฐโอริสสา โดยฝ่ายค้านกล่าวว่า น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากฝีมือมนุษย์ เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบกักเก็บน้ำในเขื่อนมากเกินไป ถึงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาตรเต็มของเขื่อน ทำให้เมื่อเข้าหน้าฝน เขื่อนไฮรากุดจำเป็นต้องปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกมาภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าแปดสิบคน และสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก ผู้เชียวชาญระบุว่า จุดประสงค์ดั้งเดิมของเขื่อนไฮรากุดที่ขวางแม่น้ำมหานาดี มีไว้เพื่อป้องกันน้ำท่วม อย่างไรก็ตามในระยะหลังๆ เขื่อนดังกล่าวถูกใช้เพื่อการชลประทาน การผลิตไฟฟ้า และใช้ในอุตสาหกรรมร่วมด้วย ทำให้มีการเก็กกับน้ำในเขื่อนมากเกินจำเป็น อย่างไรก็ตาม ทางการอินเดียได้ตอบโต้ว่า น้ำท่วมดังกล่าว ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการจัดการน้ำในเขื่อนผิดพลาด และยืนยันว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนไฮราคุดซึ่งเป็นเขื่อนเอนกประสงค์ เป็นไปตามข้อกำหนดที่คำนวณไว้อย่างถูกต้องแล้ว ทางนักการเมืองฝ่ายค้านและนักเคลื่อนไหว ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริง และตีพิมพ์ “สมุดปกขาว” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะอีกด้วย ปัญหาเผือกร้อน ส่วนในประเทศไทยเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีสื่อมวลชนที่ตั้งคำถามกับสาเหตุของปัญหาน้ำท่วมอย่างตรงไปตรงมามากนัก แต่เรายังพบเห็นฝ่ายต่างๆ ทั้งนักวิชาการ หน่วยงานราชการ บล็อกเกอร์ นำข้อมูลมาประมวลและวิเคราะห์ถึงสาเหตุของน้ำท่วมปี 2554 มานำเสนอต่อสาธารณะกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีข้อสรุปที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณฝนที่มากผิดปรกติ เนื่องมาจากพายุโซนร้อน (สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 40%) เป็นสาเหตุหลักของน้ำท่วมในครั้งนี้ (Andrew Walker, Thai flood cause revealed: rain! , เว็บไซต์นิวแมนดาลา) การบริหารจัดการน้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ข้อมูลปริมาณฝนที่ความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนนั้น ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในวางแผนในการจัดการน้ำให้เหมาะสม (ชินวัชร์ สุรัสวดี, เทียบข้อมูลฝนจากดาวเทียม หาสาเหตุวิกฤตน้ำท่วม 2554, มติชน) ไม่มีการติดตามข้อมูลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ทำให้กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) คาดการณ์ผิด และเก็บน้ำไว้ในเขื่อนใหญ่ทั้งหมดเพราะกลัวว่าจะไม่มีน้ำใช้ในหน้าแล้ง ส่งผลให้เมื่อฝนตกต่อเนื่อง เขื่อนใหญ่จำเป็นต้องปล่อยน้ำทั้งหมดออกมาพร้อมกัน ทำให้ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมามีมากกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกใส่เขื่อน (สมิทธิ ธรรมสโรช, น้ำท่วม...บริหารจัดการไม่เป็น [บทสัมภาษณ์], โพสต์ทูเดย์) การขาดการบูรณาการในการจัดการน้ำระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น กฟผ. กรมชลประทาน และกรมอุตุนิยมวิทยาที่มีวิสัยการทำงานแบบต่างคนต่างทำ รวมถึงปัญหาผังเมือง การขาดองค์ความรู้เรื่องน้ำที่เป็นระบบ และความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา (สิริพรรณ นกสวน สวัสดี, เห็นอะไรในสายน้ำ?, ประชาไท) ความไม่พร้อมของรัฐกับการรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่, ระบบการระบายน้ำ และประสิทธิภาพของระบบการพยากรณ์ โดยในปีนี้ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมชลประทานพยากรณ์ว่า จะมีพายุเข้าเพียง 2 ลูก แต่ในความเป็นจริงมีพายุเข้าถึง 5 ลูก (มนตรี จันทวงศ์, เสวนาเปิดน้ำท่วม(ปาก): \น้ำท่วม ตอผุด\" การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ผูกขาดโดยผู้เชี่ยวชาญ<br />
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/UTIrjBH4Z88" width="420"></iframe></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: cyan;">อ้างอิง http://prachatai.com/journal/2011/11/37790</span></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-62468731882803567472012-05-22T01:31:00.000-07:002012-05-22T01:31:35.367-07:00ปัญหายาเสพติดในสังคมไทย<span style="background-color: red; font-size: large;">ปัญหายาเสพติด...ปัญหาระดับรากหญ้า...สู่ความมั่นคงของชาติ</span><br />
<br />
<div style="text-align: justify;"> <img height="240" src="http://www.prdnorth.in.th/Images/NewsImg/D11/110831085819.jpg" width="320" /> </div><span style="font-size: large;"> ใ</span>นขณะที่หลายคนกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาการเมืองไทแต่ปัญหาอีกประการที่หลายคนละเลยไปที่สร้างความรุนแรงในสังคมไม่แพ้ปัญหาการเมืองไทย นั่นก็คือ “ปัญหายาเสพติด” ปัญหายาเสพติดนับเป็นปัญหาสังคมที่มีความร้ายแรงระดับชาติ ทุกสังคมชุมชนต่างได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติดในทุกวันนี้ คนจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในสังคมไทย แม้จะได้มีมาตรการป้องกันและปราบปรามผู้ลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดยาเสพติดให้หมดไปได้ เนื่องจากเป็นขบวนการที่มีความซับซ้อน นับวันปัญหายาเสพติดยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ<br />
<br />
กล่าวได้ว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญยิ่งของประเทศไทย เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาอื่น ๆ มากมายในประเทศ ปัญหายาเสพติดในประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงและขยายตัวมากขึ้นจากผลของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ขาดพลังและขาดความสมดุลในการพัฒนา สถาบันหลักทางสังคมหลายสถาบันเกิดความอ่อนแอ เป็นช่องว่างทำให้ปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดไม่ว่าจะเป็นนายทุนผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้นำเข้า และส่งออกยาเสพติด อาศัยผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำยาเสพติดทั้งที่มีอยู่เดิมและชนิดใหม่เข้ามา เผยแพร่ในหมู่ประชาชนในแต่ละกลุ่มซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ<br />
<br />
ยาเสพติดเป็นปัญหาที่ “เป็นภัยคุกคาม กัดกร่อน บ่อนทำลาย” ประเทศไทยส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งต่อปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวมในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น<br />
<br />
<b>ผลกระทบต่อตัวบุคคล</b> ยาเสพติดทุกชนิด จะมีผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะด้านบุคลิกภาพและสุขภาพอนมัย ความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน<br />
<br />
<b>ผลกระทบต่อครอบครัว</b> ชุมชนและสังคม ครอบครัวที่มีผู้ติดยา มักได้รับความเดือดร้อนจากผู้ติดยาในทุกด้าน นำไปสู่ความยุ่งยาก ขัดแย้ง แตกแยก และสิ้นเปลืองในการแก้ปัญหา ผู้ติดยามักก่อให้เกิดอาชญากรรมต่อเนื่อง ตั้งแต่การเข้าไปเกี่ยวข้องกับแหล่งอยายมุข การลักเล็กขโมยน้อย การประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน การพนันและอาชญากรรมต่าง ๆ สำหรับผู้ค้าและหรือผู้เสพซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อถูกจับกุมและดำเนินการทางกฎหมาย จะส่งผลกระทบให้สมาชิกภายในครอบครัวได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่อยู่ภายใต้การปกครองจะต้องออกจากโรงเรียน ซึ่งเป็นการทำลายอนาคตของประเทศชาติ <br />
<br />
<b>ผลกระทบต่อการบริหารจัดการภาครัฐ </b>คดียาเสพติดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นภาระต่องานด้านกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายของรัฐที่เพิ่มสูง และทำให้การดำเนินคดีด้านอื่น ๆ เกิดความล่าช้า นอกจากนี้ ปัญหายาเสพติดได้ก่อให้เกิดการทุจริต คอรัปชั่น โดยเฉพาะการทุจริตต่อหน้าที่ การรับสินบน การกลั่นแกล้งรีดไถ แสวงหาผลประโยชน์จากผู้กระทำความผิดซึ่งทำให้ประชาชนและสังคมเกิดความไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
<br />
<b>ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ</b> การผลิตและการค้ายาเสพติด จัดเป็นกลุ่มธุรกิจ และเศรษฐกิจนอกกฎหมายที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิต แม้ว่าการค้ายาเสพติดบางส่วนจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้เมื่อมีการค้าขาย แต่ก็เป็นรายได้สำหรับคนบางกลุ่มที่กระทำผิดกฎหมายและเอารัดเอาเปรียบสังคม ปัญหายาเสพติดทำให้รัฐบาลต้องทุ่มเทงบประมาณจำนวนมาก เพื่อใช้ในการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษาและฟื้นฟู แทนที่จะนำไปใช้ในการด้านอื่นๆ ที่มีความจำเป็น ต้องสูญเสียทรัพยากรในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโดยไม่จำเป็น รวมทั้งกระทบต่อทรัพยากรมนุษย์ เพราะยาเสพติดมีส่วนทำลายพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสมองของเด็กและเยาวชน และแรงงานที่จะเป็นพลังของประเทศไทยในอนาคต<br />
<br />
<b>ผลกระทบต่อความมั่นคงและชื่อเสียงของประเทศ</b> สาเหตุเนื่องจากปัญหายาเสพติดได้ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อบ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งผลิตยาเสพติด การแพร่ระบาดของยาเสพติด จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทยไม่เป็นที่ไว้วางใจของนานาชาติในด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยวหรือลงทุนทางการค้า และธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ประเทศคู่แข่งฉวยโอกาสในการโจมตีประเทศไทย<br />
<br />
มาตรการสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ บทบาทของสถาบันทางสังคมไทยในระดับรากหญ้า ซึ่งประกอบด้วย สถาบันครอบครัว สถาบันชุมชน สถาบันโรงเรียน และสถาบันศาสนา เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหา<br />
<br />
ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ ดังนั้นการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดจึงมิใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือองค์การใดองค์กรหนึ่ง แต่หากเป็นหน้าที่ของทุกคนในชาติที่จะต้องร่วมมือ ร่วมใจกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การขจัดยาเสพติดให้หมดไปจากแผ่นดินไทยก่อนที่ชาติไทยจะตกเป็นทาสของ “ยาเสพติด”<br />
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/lt6O4Q6dSJY" width="420"></iframe><br />
<br />
<span style="background-color: cyan;">อ้างอิง http://www.oknation.net/blog/print.php?id=350940</span><br />
<div><br />
</div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-8240703487257639792012-05-22T01:05:00.002-07:002012-05-22T03:40:07.427-07:00สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน<span style="background-color: red; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;"><b>วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน</b> </span><br />
<span style="background-color: red; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;"> <span style="background-color: yellow;">จะกดดันให้เกิดการเมืองใหม่ หรือไม่อย่างไร</span></span><br />
<div style="text-align: justify;"> <span style="font-size: x-large;">จ</span>ากสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบันได้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆทางการเมืองมากมาย ที่สำคัญเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การเมืองภาคประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญปี 2550 กลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการแสดงออกซึ่งสิ่งที่เรียกว่า การเมืองภาคประชาชน ก็คือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การรวมตัวกันชุมนุมซึ่งเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เพื่อเรียกร้องสิ่งต่างๆที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องการ แต่สิ่งสำคัญที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองใหม่” เป็นแนวคิดที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่งออกมา เพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยไม่ให้กลับไปสู่ “การเมืองน้ำเน่า” การเมืองในปัจจุบันเป็นระบบการเมืองอุบาทว์ เพราะ ถูกผูกขาดโดยนักเลือกตั้งในพื้นที่เขตเลือกตั้งและนายทุน ที่ยังคงเต็มไปด้วยปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง ใช้อิทธิพลและระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่น เพื่อข่มขู่ประชาชน อีกทั้งยังใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงิน เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งทุกวิถีทางบนความอ่อนแอและฉ้อฉลของคณะกรรมการการเลือกตั้งบางคนที่ไม่สามารถทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เมื่อการเลือกตั้งเต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉลและใช้เงินเป็นตัวตั้ง ทำให้การเมืองไทยกลายเป็น “ธนาธิปไตย” เกิดการตอบแทนบุญคุณต่อนายทุนของพรรคการเมือง รัฐบาลซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองที่ฉ้อฉล จึงมุ่งแต่จะทุจริตคอร์รัปชั่น กระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้เรียกร้องการเมืองใหม่ เพื่อยุติปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อเค้าคิดว่าประชาธิปไตยกำลังเข้าสู่ทางตัน</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: magenta; font-size: large;">อรรถาธิบาย</span></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"> สาระสำคัญของการเมืองใหม่มีดังต่อไปนี้</div><div style="text-align: justify;">1. คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิกไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเท่านั้น เป้าหมายของการเมืองใหม่ก็คือได้คณะรัฐบาลและสมาชิกสภาที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ มีความสามารถโดยไม่จำเป็นต้องจำกัดวุฒิการศึกษา มีเจตนาที่จะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง และจะต้องประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพ เพื่อให้สามารถเข้าถึงปัญหาต่างๆของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้วิธีในการที่จะได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภารวมทั้งสัดส่วนนั้นจะต้องพิจารณาให้รอบคอบหลังจากล้างการเมืองระบบเลือกตัวแทนเพียงอย่างเดียวได้แล้ว และสัดส่วน ๗๐:๓๐ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในขณะนี้ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะนั่นเป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาแสดงให้ประชาชนเข้าใจว่า คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวนั้นนอกจากไม่ทำให้เกิดผลดีแล้วยังทำให้เกิดผลเสีย นอกจากนั้นวุฒิสมาชิกที่ได้มาจากการสรรหาทั้ง ๗๔ ท่านก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นวุฒิสมาชิกน้ำดีสามารถค้ำจุนการเมืองระบบรัฐสภา<br />
<br />
2. เป็นการเมืองภาคประชาชน ประชาชนต้องมีสิทธิเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ตรงกับคำขวัญของประชาธิปไตยว่า “โดยประชาชน สำหรับประชาชน และเพื่อประชาชน”อย่างแท้จริง มิใช่มีส่วนร่วมกับประชาธิปไตยเพียงกากบาทในบัตรเลือกตั้งเท่านั้น ประชาชนจะต้องสามารถตรวจสอบ และคัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาลและสภาได้ทันทีก่อนที่จะทำให้เกิดผลเสียกับประเทศ</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">3. การเมืองใหม่จะต้องเป็นการเมืองที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีธรรมาภิบาล ไม่ใช่การเมืองที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">4.จะต้องใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นนโยบายเศรษฐกิจของชาติอย่างเคร่งครัด</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">5.นโยบายของรัฐบาลจะต้องเป็นนโยบายที่มีประโยชน์และคุ้มค่า ต่อเนื่อง มิใช่เป็นความต้องการของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว โดยจะต้องทำตามแผนการพัฒนาชาติที่กำหนดโดยภาครัฐและเอกชนล่วงหน้า นโยบายของรัฐบาลในยุคการเมืองใหม่ จะต้องเป็นนโยบายที่ได้รับการกลั่นกรองจากคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทุกสาขา เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยและคนไทยอย่างแท้จริง</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">6.การเมืองใหม่จะต้องให้ความสำคัญกับทุกๆ กระทรวง ไม่มีการแบ่งเป็นกระทรวงขนาดใหญ่มีงบประมาณมากหรือกระทรวงขนาดเล็กมีงบประมาณน้อย และจะต้องพัฒนาการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">7.การเมืองใหม่จะต้องไม่มีการแทรกแซงข้าราชการประจำ การโยกย้ายหรือแต่งตั้งข้าราชการในระดับสูง จะต้องมีกฎเกณฑ์แน่นอนที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยใช้ระบบคณะกรรมการมากกว่าให้อำนาจแก่รัฐมนตรีเพียงผู้เดียว</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">8.การเมืองใหม่จะไม่มีการแทรกแซงอำนาจการบริหารรัฐวิสาหกิจด้วยการส่งนักการเมืองเข้าไปเป็นคณะกรรรมการบริหาร</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">9.การเมืองใหม่จะต้องยุติการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และต้องนำรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปแล้วกลับมาเป็นของประชาชนทั้งชาติเหมือนเดิม เพราะผลประโยชน์ของประเทศไทยจะต้องตกเป็นของคนไทยทุกคน</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">10.การเมืองใหม่จะต้องยุติการแปรรูปมหาวิทยาลัยของรัฐ แต่จะต้องใช้วิธีปรับปรุงระบบการบริหารเพื่อลดงบประมาณแผ่นดินแทน เช่นลดจำนวนคณะที่สอนซ้ำซ้อนกัน ตั้งเป็นศูนย์กลางแต่ละวิชาเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้จะต้องมีเป้าหมายว่ามหาวิทยาลัยเป็นของลูกหลานไทยทุกคน ต้องสามารถเล่าเรียนโดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด รัฐมีหน้าที่ต้องพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา การศึกษามิใช่การค้าดังนั้นจึงไม่ใช่สถานที่แสวงหาผลประโยชน์ของอาจารย์และสภามหาวิทยาลัย</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: magenta; font-size: large;">ทฤษฎี</span></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">-บทบาทรัฐ (Role of the State) ของ Machiavelli รัฐมีอำนาจอธิปไตยสูงสุดที่จะจัดการกับปัญหาใด ๆ ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน การที่เปลี่ยนระบอบการเมืองเป็นการเมืองใหม่นั้น สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ถ้าเปลี่ยนแล้วจะต้องดีขึ้นกว่ารูปแบบเดิม</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">-ประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยหลักการข้อหนึ่งคือ ความเสมอภาค ความมีเสรีภาพ นั้นแสดงถึงรัฐต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงบทบาท และความต้องการของตนได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีการกัดกัน</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: magenta; font-size: large;"> วิเคราะห์</span><br />
<span style="background-color: magenta; font-size: large;"><br />
</span></div><div style="text-align: justify;">จากสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน จะกดดันให้เกิดการเมืองใหม่หรือไม่</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="font-size: x-large;">ก</span>ารเมืองใหม่ ( new politic ) ที่เราพูดกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เราพึ่งค้นพบแต่อย่างใด หากแต่มีนักวิชาการได้ศึกษามานานแล้วแต่ไม่ได้รับความสนใจในวงกว้างสักเท่าไรในกระแประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพราะเป็นแนวคิดกระแสรองแต่การที่วาทกรรม " การเมืองใหม่ " ได้รับความสนใจกันอย่างกว้างขวางในระยะหลังๆ เพราะประชาธิปไตยแบบตัวแทน(Representative democracy)ได้อ่อนแรงลงอย่างมาก การเมืองใหม่ ทำให้เราเห็นว่า การเมืองที่เราดำรงอยู่ในปัจจุบันมันเป็นของเก่า และของเก่ามันก็ไร้ประโยชน์ แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด หากแต่สาระกลับดำรงอยู่ที่ วาทกรรมที่เราใช้ คือ การเมืองใหม่ (new politic ) เพราะเกิดคำถามขึ้นมากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้รอดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของตัวแทนที่โสมมได้หรือไม่ ปัญหาต่างๆที่กำลังประทุขึ้นมามากมายจากระบอบการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยที่ ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งตัวแทนของตนเพื่อเข้าไปทำหน้าที่แทนตนในการจัดสรรทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัดให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศชาติแต่การจัดสรรผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเกิดแค่กับเพียงคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจทางการเมือง เกิดการทุจริตฉ้อราษบังหลวง นำมาซึ่งการเรียกร้องการเมืองใหม่ ตามหลักการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การจะเกิดขึ้นของการเมืองใหม่ในประเทศไทยคงเป็นไปได้ยาก ตามความคิดของข้าพเจ้า เพราะระบอบการปกครองของไทยในรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในลักษณะการเมืองแบบผ่านผู้แทนมาช้านาน ถึงแม้จะเกิดปัญหาขึ้นจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่จะไปด่าหรือไปว่าใครได้เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่เลือกตั้งหายไปไหนหมดแล้ว จะว่าไป ประชาธิปไตยของไทยมาไกลจนมี รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน 2540 แล้ว หากไม่มีทหารลากรถถังออกมาทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง สิ่งที่ตามมาก็คือรัฐธรรมนูญฉบับปลายกระบอกปืน และทำให้ทหารใหญ่คับฟ้า ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ประชาธิปไตยของไทย จะก้าวหน้าไม่แพ้ ประเทศต่างๆแน่ ก็เพราะอย่างนี้ จึงเกิดการวิจารณ์ การเมืองใหม่ และพันธมิตรฯ ว่า ขัดต่อหลักประชาธิปไตย และเลวร้ายกว่าการรัฐประหารเสียอีก.... “ถึงแม้รัฐบาลจะมีข้อบกพร่องสูง แต่มันจะยิ่งผิดและอันตรายยิ่งกว่า หากกลุ่มม็อบที่ยึดทำเนียบ ซึ่งมีลักษณะเผด็จการ สามารถล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเสียงส่วนใหญ่ได้ ....”</div><div style="text-align: justify;"> “แกนนำพันธมิตรฯ ไม่ใช่พวกเสรีนิยม หรือ นักประชาธิปไตย แต่คือกลุ่มนักธุรกิจ นายพล คนชั้นสูง ที่เป็นขวาจัด พวกเขาไม่ได้เรียกร้องการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ต้องการ ระบอบการเมืองใหม่ ซึ่งแท้จริง คือ การกลับไปสู่ยุคเผด็จการ ที่มีระบบรัฐสภา จากการสรรหา และให้อำนาจกับทหารที่จะเข้ามามีบทบาท และจัดการเมื่อไรก็ได้” การเรียกร้องการเมืองใหม่ เป็นเพียงการเรียกร้องของกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว ในประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีการออกมาปฏิเสธการเมืองใหม่อย่างสินเชิงของกลุ่มคนบางกลุ่มเช่นเดียวกัน รวมถึงพลังเงียบหรือกลุ่มที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงพลังอีกมากมาย ดังนั้นการเกิดขึ้นของการเมืองใหม่ในประเทศไทยคงเป็นไปได้ยาก</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: magenta; font-size: large;">ข้อเสนอแนะ</span></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นก็ต้องมีการพิจารณาคิดให้รอบคอบหลาย ๆ มุม หลาย ๆ ด้าน ว่าการเมืองใหม่ มีหลักการอย่างไร วิธีที่ได้มาของผู้บริหารหรือตัวแทนของประชาชนอย่างชัดเจน และเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ ควรระวังบางทีถ้าไม่รอบคอบการเมืองใหม่อาจเป็นตัวชนวนให้เกิดสิ่งเลวร้ายที่ไม่ได้คาดถึงได้ในอนาคต</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><span style="background-color: cyan;">อ้างอิงแหล่งที่มา www.Google.com www.thai.school.net www.rssthai.com</span></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-81013003953761598662012-05-02T03:59:00.000-07:002012-05-02T03:59:05.551-07:00ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลกและเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย (1,910,931 กม.2) และประเทศพม่า (676,578 กม.2) และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศสเปน (505,370 กม.2) มากที่สุด<br />
<br />
ประเทศไทยมี]ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล[24] รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากแม่น้ำปิงและยมที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก[25] ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มาเลย์[26] ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ<br />
<br />
แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวมักเดินทางมาเยือนเสมอ ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน<br />
ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34 °C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล: อากาศร้อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อน; ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้และพายุหมุนเขตร้อนเป็นฤดูฝน; ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีนเป็นฤดูหนาว[27] ส่วนภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและร้อน โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน[27]<br />
ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคการเกษตร และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด[25] พื้นที่ราว 29% ของประเทศไทยเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง[28] ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง[29]) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน[28] ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก[30] ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก[31]<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdgP4MsTbCto0IqLWyelEL0iKby-slhxzTmpuG9KPpBprRTB5wbX8H6ouSZrN8kBOtGndBDOl-xuKkVn789GXzZEmKGAUTQ1MfwCqOyOf9mx2o6o5rfgJ0n-oF79fjrRzGZ-T8j29cqlI/s1600/200px-Thailand_BMNG.png" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="296" width="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdgP4MsTbCto0IqLWyelEL0iKby-slhxzTmpuG9KPpBprRTB5wbX8H6ouSZrN8kBOtGndBDOl-xuKkVn789GXzZEmKGAUTQ1MfwCqOyOf9mx2o6o5rfgJ0n-oF79fjrRzGZ-T8j29cqlI/s320/200px-Thailand_BMNG.png" /></a></div>apatsorn dornjongrakhttp://www.blogger.com/profile/09674772360848061864noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-30910348809680364432012-05-02T01:03:00.000-07:002012-05-02T01:03:07.986-07:00เกี่ยวกับประเทศไทย เกี่ยวกับประเทศไทย<br />
ประเทศไทยเปรียบเสมือนประตูสู่ใจกลางแห่งเอเชีย เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทย<br />
ส่งผลให้การทำการค้ากับประเทศจีน อินเดีย และประเทศต่างๆในแถบอาเซียน ซึ่งรวมถึง<br />
ประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า<br />
และเวียดนาม มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น <br />
เศรษฐกิจไทยนั้นเป็นแบบการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งมูลค่าการส่งออกคิดเป็น 60% ของ<br />
GDP หรือประมาณสองแสนแปดหมื่นหกพันล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2552) โดยการส่งออก<br />
ของประเทศไทยต่อปีคิดเป็นมูลค่า หนึ่งแสนห้าหมื่นสองพันล้านเหรียญสหรัฐ <br />
ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรมรวมถึง ปลา ข้าว สำหรับข้าวนั้นประเทศไทย<br />
ถือเป็นประเทศผู้ส่งออกรายที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังรวมถึง สิ่งทอ ยางพารา รถยนต์<br />
เครื่องประดับ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์<br />
<br />
<br />
จำนวนประชากรในประเทศมีทั้งสิ้นประมาณหกสิบเจ็ดล้านคน โดยอาศัยอยู่ใน<br />
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยประมาณ เจ็ดล้านคน นอกจากประเทศไทย<br />
ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์หลายอย่าง รวมถึงมีกำลังแรงงานที่มีทักษะ และ<br />
มีประสิทธิผลต่อค่าใช้จ่าย รัฐบาลไทยยังได้ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านทักษะเทคโนโลยี<br />
และนวัตกรรมต่อประชาชน ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับจากธนาคารโลกในปี 2553<br />
ในรายงานเรื่อง “ความสะดวกในการทำธุรกิจ” โดยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 12 <br />
ของโลกในสำหรับความเป็นประเทศที่สามารถทำธุรกิจได้ง่ายที่สุด <br />
ประเทศไทยยังถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “สยามเมืองยิ้ม” ความเป็นมิตรของชาวไทยจะทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกเสมือนอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดของคุณ ด้วยความเป็นมิตรของชาวไทยและความอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ประเทศไทยที่ให้การต้อนรับด้วยความอบอุ่นและมิตรภาพ<br />
<br />
ที่มา.... <a href="http://utcc-event.utcc.ac.th/latinforum/th_aboutthailand.html">http://utcc-event.utcc.ac.th/latinforum/th_aboutthailand.html</a>subthawee natthahttp://www.blogger.com/profile/15485410078430383654noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-40681719227191529882012-05-02T00:33:00.000-07:002012-05-02T00:33:13.621-07:00ฮีตสิบสองคองสิบสี่<iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/3wAjM8foYs8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><br />
http://www.youtube.com/watch?v=3wAjM8foYs8นที ดีเหลือhttp://www.blogger.com/profile/13275738708926446788noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-73896693970184079112012-05-02T00:29:00.000-07:002012-05-02T00:29:54.494-07:00<b>การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475</b><br />
<br />
ภายหลังการปฏิรูปการปกครองและการปฏิรูปการศึกษาในรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้มีกระแสความคิดที่จะให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีรัฐสภาเป็นสถาบันหลักที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้มีคณะนายทหารชุดกบฏ ร.ศ.130 ซึ่งมีความคิดที่ปฏิบัติการให้บรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว แต่ไม่ทันลงมือกระทำการก็ถูกจับได้เสียก่อนเมื่อ พ.ศ.2454 ในต้นรัชกาลที่ 6 <br />
อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังคงมีออกมาเป็นระยะๆ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ยังไม่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ มากนัก นอกจากการปรับตัวของรัฐบาลทางด้านการเมืองการปกครองให้ทันสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศแต่ประการใด จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีคณะผู้ก่อการภายใต้การนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งได้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จใน พ.ศ. 2475<br />
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย<br />
<br />
<b>สภาพการณ์โดยทั่วไปของบ้านเมืองก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง</b><br />
<b>1.สภาพการณ์ทางสังคม</b><br />
สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตกในทุกๆ ด้าน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิรูปแผ่นดินเข้าสู่ความทันสมัยในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453) ความจริงแล้วสังคมไทยเริ่มปรับตัวให้เข้ากับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ภายหลังได้ทำสนธิสัญญาบาวริงกับอังกฤษใน พ.ศ.2398 และกับประเทศอื่นๆในภาคพื้นยุโรปอีกหลายประเทศ และทรงเปิดรับรับประเพณีและวัฒนธรรมของตะวันตก เช่น การจ้างชาวตะวันตกให้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษแก่พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวัง การให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า การอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าพร้อมกับขุนนางข้าราชการไทยในงานพระบรมราชาภิเษก เป็นต้น<br />
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินพระบรมราโชบายปลดปล่อยไพร่ให้เป็นอิสระและทรงประกาศเลิกทาสให้เป็นไทแก่ตนเอง พร้อมกันนั้นยังทรงปฏิรูปการศึกษาตามแบบตะวันตก เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาถึงขั้นอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็น ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย บุตรหลานขุนนาง หรือราษฎรสามัญชนที่พ้นจากความเป็นไพร่หรือทาส ถ้าบุคคลใดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก็จะมีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศตะวันตกโดยพระบรมราชานุเคราะห์จากผลการปฏิรูปการศึกษา ทำให้คนไทยบางกลุ่มที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก เริ่มรับ เริ่มรับเอากระแสความคิดเกี่ยวกับการเมืองสมัยใหม่ ที่ยึดถือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากตะวันตก และมีความปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกคราองเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากคำกราบบังคมทูลถวายถึงความคิดเห็นในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะเจ้านายและข้าราชการใน พ.ศ.2427 (ร.ศ.103) หรือการเรียกร้องให้มีการปกครองในระบบรัฐสภาของ “เทียนวรรณ” (ต.ว.ส. วัณณาโภ) ในหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้น และกระแสความคิดนี้ก็ดำเนินสืบเนื่องมาโดยตลอดในหมู่ผู้นำสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก และจากผู้ที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก<br />
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้นำสมัยใหม่บางส่วนที่ได้รับผลประโยชน์จากระบบราชการสมัยใหม่ที่ตนเองเข้าไปมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ก็ถูกระบบราชการดูดกลืนจนปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยใหม่ในระยะเวลาอันใกล้ เพราะมีความเห็นว่าประชาชนชาวไทยยังขาดความพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง<br />
สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปประเทศเข้าสู่ความทันสมัย สังคมไทยก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความมีเสรีในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น โดยเริ่มเปิดโอกาสสื่อมวลชนเสนอความคิดเห็นต่อสาธารณชนได้ค่อนข้างเสรี ดังนั้นจึงปรากฏว่าสื่อมวลชนต่างๆ เช่น น.ส.พ.สยามประเภท, ตุลวิภาคพจนกิจ, ศิริพจนภาค, จีนโนสยามวารศัพท์ ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายในรัชกาลที่ 5 น.ส.พ. บางกอกการเมือง ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในสมัยรัชกาลที่ 6 และ น.ส.พ.สยามรีวิว ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้เรียกร้องและชี้นำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ระบบรัฐสภา โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศอย่างต่อเนื่อง<br />
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปลดปล่อยไพร่และทาสให้เป็นอิสระในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ผ่านพ้นไปได้เพียง 20 ปีเศษ ดังนั้นสภาพสังคมส่วนใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมในระบบเจ้าขุนมูลนาย นอกจากนี้คนส่วนน้อยยังคงมีฐานะ สิทธิ ผลประโยชน์ต่างๆ เหนือคนไทยส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่มักมีความเห็นคล้อยตามความคิดที่ส่วนน้อยซึ่งเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยชี้นำ ถ้าจะมีความขัดแย้งในสังคมก็มักจะเป็นความขัดแย้งในทางความคิด และความขัดแย้งในเชิงผลประโยชน์ในหมู่ชนชั้นนำของสังคมที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก มากกว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นผู้นำของสังคมไทยกับราษฎรทั่วไป<br />
<br />
<b>2.สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ</b><br />
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เริ่มมีการส่งข้าวออกไปขายยังต่างประเทศมากขึ้น เพราะระบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและความต้องการของตลาดโลก ชาวนาจึงหันมาปลูกข้าวเพื่อส่งออกมาขึ้น ทำให้มีการปลูกพืชอื่นๆ น้อยลง ผลผลิตที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนก็ลดลงด้วยบางที่ก็เลิกผลิตไปเลย เพราะแรงงานส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการผลิตข้าวแทน<br />
สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเห็นว่าถึงแม้รายได้ของแผ่นดินจะเพิ่มพูนมากขึ้นอันเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไป แต่การที่ระบบการคลังของแผ่นดินยังไม่รัดกุมพอ ทำให้เกิดการรั่วไหลได้ง่าย จังทรงจัดการปฏิรูปการคลังโดยจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อการปรับปรุงและการจัดระบบภาษีให้ทันสมัยใน พ.ศ.2416 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ.2434 เริ่มโครงการปฏิรูปเงินตราใหม่ พ.ศ.2442 จัดการส่งเสริมการเกษตรและการผลิตเพื่อการส่งออกให้มากขึ้น ปรับปรุงการคมนาคมให้ทันสมัยโดยการสร้างทางรถไฟ ตัดถนนสายต่างๆ ขุดคลอง เพื่อให้เกิดความสะดวกในการคมนาคม การขนส่งสินค้าและผลผลิต ซึ่งผลการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น 15 ล้านบาทใน พ.ศ.2435 เป็น 46 ล้านบาทใน พ.ศ.2447 โดยไม่ได้เพิ่มอัตราภาษีและชนิดของภาษีขึ้นอย่างใด ทำให้เงินกองคลังของประเทศ ซึ่งเคยมีอยู่ประมาณ 7,500,000 บาท ใน พ.ศ.2437 เพิ่มเป็น 32,000,000 บาทใน พ.ศ.2444<br />
สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468) ได้มีการส่งเสริมธุรกิจด้านอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ กิจการไฟฟ้า มีการจัดตั้งบริษัทพาณิชย์นาวีสยาม ส่งเสริมด้านชลประทานและการบำรุงพันธุ์ข้าว จัดตั้งธนาคารออมสิน สร้างทางรถไฟเพิ่มเติมจากเดิม ทั้งนี้เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่เนื่องจากได้อุทกภัยใน พ.ศ.2460 และเกิดฝนแล้งใน พ.ศ. 2462 ทำให้การผลิตข้าวอันเป็นที่มาของรายได้หลักของประเทศประสบความเสียหายอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อภาวะการคลังของประเทศอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับมาโดยตลอดระหว่าง พ.ศ.2465-2468<br />
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2475) พระองค์ได้ทรงแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มพระสติกำลังความสามารถ โดยทรงเสียสละด้วยการตัดทอนรายจ่ายในราชสำนัก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่หน่วยราชการต่างๆ โดยโปรดให้ลดเงินงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์ จากเดิมปีละ 9 ล้านบาท เหลือปีละ 6 ล้านปี พ.ศ.2469 และมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรใหม่หลายอย่าง ทำให้งบประมาณรายรับรายจ่ายเกิดความสมดุล พ.ศ.2472-2474 เศรษฐกิจโลกเริ่มตกต่ำอันเป็นผลเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงส่งผลกระทบต่อประเทศโดยตรง ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับเป็นจำนวนมาก รัชกาลที่ 7 ได้ทรงดำเนินนโยบายตัดทอนรายจ่ายอย่างเข้มงวดที่สุด รวมทั้งปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนมากเพื่อการประหยัด ตลอดจนจัดการยุบมณฑลต่างๆทั่วประเทศ งดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเบี้ยกันดารแก่ข้าราชการ ประกาศให้เงินตราของไทยออกจากมาตรฐานทองคำ และกำหนดค่าเงินตราตามเงินปอนด์สเตอร์ลิง รวมทั้งการประกาศเพิ่มภาษีราษฎรโดยเฉพาะข้าราชการซึ่งจะต้องเสียภาษีที่เรียกว่า ภาษเงินเดือน แต่ถึงแม้ว่าจะทรงดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการประหยัดและตัดทอนรายจ่ายต่างๆ รวมทั้งการเพิ่มภาษีบางอย่างแล้ว แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ไดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น<br />
<br />
<b>3.สภาพการณ์ทางการเมือง</b><br />
สภาพการณ์ทางการเมืองและการปกครองของไทยกำลังอยู่ในระยะปรับตัวเข้าสู่แบบแผนการปกครองของตะวันตก เห็นได้จากพระบรมราโชบายของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ภายหลังที่ไทยได้มีการติดต่อกับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4-7สมัยรัชกาลที่ 4 ยังไม่ได้ทรงดำเนินนโยบายปรับปรุงการปกครองให้เป็นแบบตะวันตก แต่ก็ทรงมีแนวพระราชดำริโน้มเอียงไปในทางเสรีนิยม เช่น ประกาศให้เจ้านายและข้าราชการเลือกตั้งตำแหน่งมหาราชครูปุโรหิตและตำแหน่งพระมหาราชครูมหิธร อันเป็นตำแหน่งตุลาการที่ว่างลง แทนที่จะทรงแต่งตั้งผู้พิพากษาตามพระราชอำนาจของพระองค์ และเปลี่ยนแปลงวิธีถวายน้ำพิพัฒน์สัตยา ด้วยการที่พระองค์ทรงเสวยน้ำพิพัฒน์สัตยาร่วมกับขุนนางข้าราชการและทรงปฏิญาณความซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อขุนนางข้าราชการทั้งปวงด้วย<br />
สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ เพื่อให้การปกครองของไทยได้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับชาติตะวันตก โดยจัดตั้ง สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) ใน พ.ศ.2417 เพื่อถวายคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินและในเรื่องต่างๆ ที่พระองค์ของคำปรึกษาไป นอกจากนี้พระองค์ยังทรงปฏิรูปการปกครองที่สำคัญคือ การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่จำนวน 12 กระทรวงขึ้นแทนจตุสดมภ์ในส่วนกลางและจัดระบบการปกครองหัวเมืองต่างๆในรูปมณฑลเทศาภิบาลในภูมิภาค โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2435 เป็นต้นมา นอกจากนี้พระองค์ทรงริเริ่มทดลองการจัดการปกครองท้องถิ่นในรูป สุขาภิบาล จัดตั้ง รัฐมนตรีสภา เพื่อทำหน้าที่ตามกฎหมาย ใน พ.ศ.2437 ตามแบบอย่างตะวันตก<br />
สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงริเริ่มทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยการจัดตั้ง ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยขึ้นในบริเวณพระราชวังดุสิต พ.ศ.2461 เพื่อทดลองฝึกฝนให้บรรดาข้าราชการได้ทดลองปกครองตนเองในนครดุสิตธานี เหมือนกับการจดรูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เรียกว่า “เทศบาล” นอกจากนี้ยังทรงจัดตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่จากที่มีอยู่เดิม และยุบเลิกกระทรวงบางกระทรวงเพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยทรงจัดตั้งมณฑลเพิ่มขึ้นและทรงปรับปรุงการบริหารงานของมณฑลด้วยการยุบรวมมณฑลเป็นหน่วยราชการที่เกี่ยวกับการปกครองเรียกว่า มณฑลภาค เพื่อให้การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลมีความคล่องตัวมากขึ้น<br />
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468-2475) ทรงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ทันสมัย และต้องเตรียมการให้พร้อมเพิ่มมิให้เกิดความผิพลาดได้ โดยพระองค์ได้ทรงจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2468 และทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภาวางระเบียบสำหรับจัดตั้งสภากรรมการองคนตรี เพื่อเป็นสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์อีกด้วย<br />
นอกจากนี้ทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีวางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปเทศบาล ด้วยการแก้ไขปรับปรุงสุขาภิบาลที่มีอยู่ให้เป็นเทศบาล แต่ไม่มีโอกาสได้ประกาศใช้ เพราะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นก่อน นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีวิศาลวาจาและนายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญ ตามกระแสพระราชดำริใน พ.ศ.2474 มีสาระสำคัญดังนี้<br />
อำนาจนิติบัญญัติจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อม โดยมีสมาชิก 2 ประเภท คือ มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์สมัครเลือกตั้งจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า30 ปี มีพื้นฐานความรู้อ่านออกเขียนได้ ส่วนอำนาจบริหารให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากอภิรัฐมนตรีมีความเห็นประชาชนยังไม่พร้อม ดังนั้นการประกาศใช้รัฐธรรมนูญควรระงับไว้ชั่วคราว จนกระทั่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อนจึงมิได้มีการประกาศใช้แต่อย่างใด<br />
<br />
<b>สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475</b><br />
<b>1.ความเสื่อมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</b><br />
การที่คณะนายทหารหนุ่มภายใต้การนำของ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์(เหล็ง ศรีจันทร์) ได้วางแผนยึดอำนาจการปกครอง เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบที่จำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในฐานะประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อ พ.ศ.2454 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะถูกจับกุมก่อนลงมือปฏิบัติงาน แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของระบอบนี้อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ไม่ดุลกับรายรับ ทำให้มีการกล่าวโจมตีรัฐบาลว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไป ครั้งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ถูกโจมตีว่าทรงตกอยู่ใต้อิทธิพลของอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง และบรรดาพระราชวงศ์ก็มีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองมากเกินไป ควรจะให้บุคคลอื่นที่มีความสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองด้วย ปรากฎการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งนับวันจะมีปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้น<br />
<br />
<b>2.การได้รับการศึกษาตามแนวความคิดตะวันตกของบรรดาชนชั้นนำในสังคมไทย</b><br />
อิทธิพลจากการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้คนไทยส่วนหนึ่งที่ไปศึกษายังประเทศตะวันตก ได้รับอิทธิพลแนวคิดทางการเมืองสมัยใหม่ และนำกลับมาเผยแพร่ในประเทศไทย ทำให้คนไทยบางส่วนที่ไม่ได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศรับอิทธิพลแนวความคิดดังกล่าวด้วย อิทธิพลของปฏิรูปการศึกษาได้ส่งผลกระตุ้นให้เกิดความคิดในการเปลี่ยนแลปงการปกครองมากขึ้น นับตั้งแต่คณะเจ้านายและข้าราชการเสนอคำกราบบังคมทูลให้เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2427 นักหนังสือพิมพ์อย่าง เทียนวรรณ (ต.ว.ส.วัณณาโภ) ก.ศ.ร. กุหลาบ (ตรุษ ตฤษณานนท์) ได้เรียกร้องให้ปกครองบ้านเมืองในระบบรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์สังคม กระทบกระเทียบชนชั้นสูงที่ทำตัวฟุ้งเฟ้อ ซึ่งตัวเทียนวรรณเองก็ได้กราบบังคมทูลถวายโครงร่างระบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยแด่รัชกาลที่ 5 ต่อมาในรัชกาลที่ 6 กลุ่มกบฏ ร.ศ.130 ที่วางแผนยึดอำนาจการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นบุคคลที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกแต่ไม่เคยไปศึกษาในต่างประเทศ แต่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 เป็นคณะบุคคลที่ส่วนใหญ่ผ่านการศึกษามาจากประเทศตะวันตกแทบทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงอัทธิพลของความคิดในโลกตะวันตกที่มีต่อชนชั้นผู้นำของไทยเป็นอย่างยิ่ง เมื่องคนเลห่านี้เห็นความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเปลี่ยนแปลงกรปกครองจึงเกิดขึ้น<br />
<br />
<b>3.ความเคลื่อนไหวของบรรดาสื่อมวลชน</b><br />
สื่อมวลชนมีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการปกครองแบบใหม่และปฏิเธระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น น.ส.พ.ตุลวิภาคพจนกิจ (พ.ศ.2443-2449) น.ส.พ.ศิริพจนภาค (พ.ศ.2451) น.ส.พ.จีนโนสยามวารศัพท์ (พ.ศ.2446-2450) น.ส.พ.บางกอกการเมือง (พ.ศ.2464) น.ส.พ.สยามรีวิว (พ.ศ.2430) น.ส.พ.ไทยใหม่ (พ.ศ.2474) ต่างก็เรียกร้องให้มีการปกครองในระบบรัฐสภาที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ โดยชี้ให้เห็นถึงความดีงามของระบอบประชาธิปไตยที่จะเป็นแรงผลักดันให้ประชาชาติมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ ดังเช่นที่ปรากฎเป็นตัวอย่างในหลายๆประเทศที่มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ การะแสเรียกร้องของสื่อมวลชนในสมัยนั้นได้มีส่วนต่อการสนับสนุนให้การดำเนินของคณะผู้ก่อการในอันที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองบรรลุผลสำเร็จได้เหมือนกัน<br />
<br />
<b>4.ความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย</b><br />
รัชกาลที่ 7 ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศและทรงเต็มพระทัยที่จะสละพระราชอำนาจมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่เมื่อพระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งให้พระยาศรีวิศาลวาจาและนายเรย์มอนด์ บี.สตีเวนส์ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อประกาศใช้ พระองค์ได้ทรงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาอภิรัฐมนตรีสภา แต่อภิรัฐมนตรีสภากลับไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าประชาชนยังขาดความพร้อมและเกรงจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งๆที่รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นด้วยกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่ออภิรัฐมนตรีสภาคัด ค้าน พระองค์จึงมีน้ำพระทัยเป็นประชาธิปไตยโดยทรงฟังเสียงทัดทานจากอภิรัฐมนตรีสภาส่วนใหญ่ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงยังไม่มีโอกาสได้รับการประกาศใช้ เป็นผลให้คณะผู้ก่อการชิงลงมือทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้ในที่สุด<br />
<br />
<b>5.สถานะการคลังของประเทศและการแก้ปัญหา</b><br />
การคลังของประเทศเริ่มประสบปัญหามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพราะการผลิตข้าวประสบความล้มเหลว เนื่องจากเกิดภาวะน้ำท่วมและฝนแล้งติดต่อกันใน พ.ศ. 2460 และ พ.ศ.2462 ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียหายต่อการผลิตข้าวอย่างรุนแรง ภายในประเทศก็ขาดแคลนข้าวที่จะใช้ในการบริโภค และไม่สามารถส่งข้าวไปขายยังต่างประเทศได้ ทำให้รัฐขาดรายได้เป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงต้องจัดสรรเงินงบประมาณช่วยเหลือชาวนา ข้าราชการ และผู้ประสบกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีทั้งรายจ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนเกินงบประมาณรายได้ ซึ่งใน พ.ศ. 2466 งบประมาณขาดดุลถึง 18 ล้านบาท นอกจากนี้รัฐบาลได้นำเอาเงินคงคลังที่เก็บสะสมไว้ออกมาใข้จ่ายจนหมดสิ้น ในขณะที่งบประมาณรายได้ต่ำ รัชกาลที่ 6 ทรงแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อให้มีเงินเพียงพอกับงบประมาณรายจ่าย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างไม่ประหยัด ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังคับขัน<br />
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงดำเนินนโยบายตัดทอนรายจ่ายของรัฐบาลลดจำนวนข้าราชการในกระทรวงต่างๆให้น้อยลง และทรงยินยอมตัดทอนงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์ให้น้อยลง เมื่อ พ.ศ.2469 ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 3 ล้านบาท แต่เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกเริ่มตกต่ำมาเป็นลำดับตั้งแต่ พ.ศ. 2472 ทำให้มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง รัฐบาลต้องตัดทอนรายจ่ายอย่างเข้มงวดที่สุด รวมทั้งปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งเป็นอันมาก จัดการยุบมณฑลต่างๆทั่วประเทศ งดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเบี้ยกันดารของข้าราชการ รวมทั้งการประกาศให้เงินตราของไทยออกจากมาตรฐานทองคำ<br />
พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มภาษีราษฎรโดยเฉพาะการเก็บภาษีเงินเดือนจากข้าราชการ แต่มาตรการดังกล่าวมก็ไม่สามารถจะกอบกู้สถานะการคลังของประเทศได้กระเตื้องขึ้นได้ จากปัญหาเศรษฐกิจการคลังที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขให้มีสภาพเป็นปกติได้ ทำให้คณะผู้ก่อการใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาล จนเป็นเงื่อนไขให้คณะผู้ก่อการดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จ<br />
<br />
<b>การยึดอำนาจการปกครอง</b><br />
<b>1.วิธีการดำเนินงาน</b><br />
กลุ่มบุคคลซึ่งเป็นผู้ริเริ่มความคิดที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งแรกหรือที่เรียกว่า “คณะผู้ก่อการ นั้นมี 7 คน ที่สำคัญคือ นายปรีดี พนมยงค์ ร.ท.แปลก ขีตตะวังคะ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เป็นต้น<br />
คณะบุคคลทั้ง 7 คนได้เริ่มเปิดประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2469 ที่พักแห่งหนึ่งในถนน รู เดอ ซอมเมอรารด์ ณ กรุงปารีส การประชุมครั้งนั้นดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นประธานที่ประชุม และที่ประชุมตกลงดำเนินการจัดตั้งคณะผู้ก่อการขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์รวมในการดำเนินงานต่อไป โดยที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสมเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการต่อไป ที่ประชุมได้ตกลงในหลักการที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้กฎหมายหรือที่เรียกกันว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ<br />
นอกจากนี้ คณะผู้ก่อการได้กำหนดหลักการในการปกครองประเทศไว้ 6 ประการ<br />
1) รักษาความเป็นเอกราชของชาติในทุกๆด้าน เช่น เอกราชทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางการศาล ฯลฯ ให้มีความมั่นคง<br />
2) รักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้มีการประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลง<br />
3) บำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทำทุกคน โดยจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติและไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก<br />
4) ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคทัดเทียมกัน<br />
5) ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการข้างต้น<br />
6) ให้การศึกษาแก่ราษฎรทุกคนอย่างเต็มที่<br />
ภายหลังจากเสร็จการประชุมในครั้งนั้นแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมายแล้ว ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย ทางสมาชิกที่อยุ่ในกรุงปารีสจึงได้เลือกเฟ้นผู้ที่สมควรเข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อไป และได้สมาชิกเพิ่มในคณะผู้ก่อการอีก 8 คน ที่สำคัญ คือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน เป็นต้น<br />
ภายหลังเมื่อบรรดาสมาชิกของคณะผู้ก่อการที่กรุงปารีสกลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว ก็ได้มีการชักชวนบุคคลที่มีความเห็นร่วมกันเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะผู้ก่อการอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.2474 จึงได้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ดังนั้นสมาชิกคณะผู้ก่อการฝ่ายทหารที่สำคัญ ได้แก่ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม น.ต.หลวงสินธุ์สงครามชัย ฯลฯ สำหรับสมาชิกคณะผู้ก่อการหัวหน้าฝ่ายพลเรือนที่สำคัญคือ นายปรีดี พนมยงค์ นายทวี บุญยเกตุ นายควง อภัยวงค์ เป็นต้น<br />
คณะผู้ก่อการได้วางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองดำเนินไปอย่างละมุนละม่อมและหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อให้มากที่สุด โดยมีแผนจับกุมผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเอาไว้ก่อน ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน นอกจากนี้ยังมีแผนการจับกุมพระบรมวงศานุวงศ์องค์อื่นๆ รวมทั้งเสนาบดี ปลัดทูลฉลองกระทรวงต่างๆ และผู้บังคับบัญชาทหารที่สำคัญๆ อีกหลายคนด้วยกัน เพื่อเป็นข้อต่อรองให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทย<br />
<br />
<b>2.ขั้นตอนการยึดอำนาจ</b><br />
คณะผู้ก่อการได้เริ่มลงมือปฏิบัติงานในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะผู้ก่อการ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการนำคณะนายทหารพร้อมด้วยกำลังหน่วยทหารที่เตรียมการเอาไว้ เข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นฐานบัญชาการ และได้ส่งกำลังทหารเข้ายึดวังบางขุนพรหม พร้อมทั้งได้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเสด็จมาประทับยังพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นผลสำเร็จ จากการที่คณะผู้ก่อการได้พยายามดำเนินการอย่างละมุนละม่อมดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีซึ่งมีผลต่อชาติบ้านเมืองโดยส่วนรวม<br />
สำหรับทางฝ่ายพลเรือนนั้น สมาชิกคณะผู้ก่อการกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของหลวงโกวิทอภัยวงศ์ (นายควง อภัยวงศ์) ได้ออกตระเวนตัดสายโทรศัพท์และโทรเลขทั้งในพระนครและธนบุรี เพื่อป้องกันมิให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตและผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในกรุงเทพฯ ขณะนั้น โทรศัพท์และโทรเลขติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ ได้จัดทำใบปลิว คำแถลงการณ์ของคณะผู้ก่อการออกแจกจ่ายประชาชน<br />
คณะผู้ก่อการสามารถยึดอำนาจและจับกุมบุคคลสำคัญฝ่ายรัฐบาลไว้ได้โดยเรียบร้อย และได้ร่วมกันจัดตั้ง คณะราษฎร ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งออกประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร เพื่อชี้แจงที่ต้องเข้ายึดอำนาจการปกครองให้ประชาชนเข้าใจ นอกจากนี้คณะราษฎรได้แต่งตั้งผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารขึ้น 3 นาย ได้แก่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ โดยให้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน ขณะที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารประเทศ<br />
หลังจากนั้น คณะราษฎรได้มีหนังสือกราบบังคับทูลอันเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับคืนสู่พระนคร เพื่อดำรงฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรต่อไป ด้วยความที่พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยที่เป็นประชาธิปไตย และทรงพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ พระองค์ทรงตอบรับคำกราบบังคับทูลอัญเชิญของคณะราษฎร โดยพระองค์ทรงยินยอมที่จะสละพระราชอำนาจของพระองค์ด้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญตามที่คณะราษฎรได้มีเป้าหมายเอาไว้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้เสด็จพระราชดำเนินกลับคืนสู่พระนครเพื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทย<br />
<br />
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br />
การที่คณะราษฎรภายใต้การนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นผลสำเร็จ โดยมิต้องสูญเสียเลือดเนื้อแต่ประการใดนั้น เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่รงยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมิได้ทรงต่อต้านเพื่อคิดตอบโต้คณะราษฎรด้วยการใช้กำลังทหารที่มีอยู่แต่ประการใด และทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทยตามที่คณะราษฎรได้เตรียมร่างเอาไว้ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธย นอกจากนี้พระองค์ก็ทรงมีพระราชประสงค์มาแต่เดิมแล้วว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศแก่ประชาชนอยู่แล้ว จึงเป็นการสอดคล้องกับแผนการของคณะราษฎร ประกอบกับพระองค์ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความสุขของประชาชนเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าการดำรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจของพระองค์<br />
รัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยมี 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475<br />
<br />
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475<br />
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่เจ้า เสด็จพระราชดำเนินจากพระราชวังไกลกังวล หัวหิน กลับคืนสู่พระนครแล้ว คณะราษฎรได้นำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรบางคนได้ร่างเตรียมไว้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพระปรมาภิไธย พระองค์ได้พระราชทานกลับคืนมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้มีพิธีเปิดสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้มีชื่อเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”<br />
รัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้กำหนดว่า อำนาจสูงสุดในแผ่นดินประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งแต่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์ จึงได้เปลี่ยนเป็นของปวงชนชาวไทยตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวกับการได้มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ได้กำหนดแบ่งระยะเวลาออกเป็น 3 สมัยคือ<br />
1) สมัยที่ 1 นับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ 2 จะเข้ารับตำแหน่ง ให้คณะราษฎรซึ่งมีผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทน และจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นเป็นจำนวน 70 นาย เป็นสมาชิกในสภา<br />
2) สมัยที่ 2 ภายในเวลา 6 เดือน หรือจนกว่าจะจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย สมาชิกในสภาจะต้องมีบุคคล 2 ประเภท ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ ประเภทที่หนึ่ง ได้แก่ผู้แทนราษฎรซึ่งราษฎรได้เลือกขึ้นมาจังหวัดละ 1 นาย ต่อราษฎรจำนวน 100,000 คน ประเภทที่สอง ผู้เป็นสมาชิกอยู่ในสมัยที่หนึ่งมีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่หนึ่ง ถ้าจำนวนเกินให้เลือกกันเองว่าผู้ใดจะยังเป็นสมาชิกต่อไป ถ้าจำนวนขาดให้ผู้ที่มีตัวอยู่เลือกบุคคลใดๆเขาแทนจนครบ<br />
3) สมัยที่ 3 เมื่อจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรได้สอบไล่วิชาประถมศึกษาได้เป็นจำนวน กว่าครึ่ง และอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับตั้งแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ที่ราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น ส่วนสมาชิกประเภทที่สองเป็นอันสิ้นสุดลง ผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 นาย ซึ่งผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารจะเป็นผู้จัดตั้งขึ้นในระยะแรกนั้น ประกอบด้วยสมาชิกคณะราษฎร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพสาขาต่างๆ ซึ่งมีความปรารถนาจะช่วยบ้านเมือง และกลุ่มกบฏ ร.ศ.130 บางคน ซึ่งสมาชิกทั้ง 70 คน ภายหลังจากการได้รับการแต่งตั้งแล้ว 6 เดือน ก็จะมีฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว<br />
ทางด้านอำนาจบริหารนั้นในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ซึ่งตำแหน่งบริหารที่สำคัญเอาไว้คือ ประธานคณะกรรมการราษฎร (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) ซึ่งจะต้องเป็นบุคคลที่สามารถประสานความเข้าใจระหว่างคณะราษฎรกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างดี และเพื่อความราบรื่นในการบริหารประเทศต่อไป คณะราษฎรจึงตกลงเห็นชอบที่จะให้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร<br />
คณะกรรมการราษฎร (คณะรัฐมนตรี) ในรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีชุดแรกที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 มีจำนวนทั้งสิ้น 15 นาย เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน<br />
<br />
2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475<br />
ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวแล้วสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบไป ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2475 และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับรองให้ใช้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2475 โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 หลังจากนั้นได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป<br />
<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 2475 มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้<br />
1.อำนาจนิติบัญญัติ กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง แต่มีบทเฉพาะกาลกำหนดไว้ว่า ถ้าราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ยังมีการศึกษาไม่จบชั้นประถมศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด และอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 <br />
สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท มีจำนวนเท่ากันคือ สมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งสขึ้นมาตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนสมาชิกประเภทที่ 2 ได้แก่ ผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร ในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br />
2.อำนาจบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 นาย และรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย และในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ กล่าวโดยสรุปในภาพรวมของรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองการปกครองและสังคมไทยดังนี้คือ<br />
2.1 อำนาจการปกครองของแผ่นดินซึ่งแต่เดิมเคยเป็นของพระมหากษัตริย์ก็ตกเป็นของปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์จะทรงใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ทาง คือ อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี อำนาจตุลาการผ่านทางผู้พิพากษา (ศาล)<br />
2.2 ประชาชนจะได้รับสิทธิในทางการเมือง โดยการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ออกกฎหมายและเป็นปากเสียงแทนราษฎร<br />
2.3 ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในทางการเมืองมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องต่างๆได้ ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย และคนทุกคนมีความเสมอภาคภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน<br />
2.4 ในระยะแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ อำนาจบริหารประเทศจะต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของคณะราษฎร ซึ่งถือว่าเห็นตัวแทนของราษฎรทั้งมวลในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนจึงจะมีสิทธิในอำนาจอธิปไตยอย่างเต็มที่<br />
<br />
<b>ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแหลงการปกครอง พ.ศ. 2475</b><br />
<b>1.ผลกระทบทางด้านการเมือง</b><br />
การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการสิ้นสุดพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทางยอมรับการเปลี่ยนแปลง และทรงยินยอมพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทยแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงเป็นห่วงว่าประชาชนจะมิได้รับอำนาจการปกครองที่พระองค์ทรงพระราชทานให้โดยผ่านทางคณะราษฎรอย่างแท้จริง พระองค์จึงทรงใช้ความพยายามที่จะขอให้ราษฎรได้ดำเนินการปกครองประเทศด้วยหลักการแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่พระองค์ก็มิได้รับการสนองตอบจากรัฐบาลของคณะราษฎรแต่ประการใด จนกระทั่งภายหลังพระองค์ต้องทรงประกาศสละราชสมบัติใน พ.ศ.2477<br />
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ทั้งนี้เป็นเพราะยังมีผู้เห็นว่าการที่คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีพระมหากษัตรยิ์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ยังมิได้เป็นไปตามคำแถลงที่ให้ไว้กับประชาชน<br />
นอกจากนี้การที่คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศตามหลักการข้อ 3 ในอุดมการณ์ 6 ประการของคณะราษฎรที่ได้ประกาศไว้เมื่อครั้งกระทำการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ปรากฏว่าหลายฝ่ายมองว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจมีลักษณะโน้มเอียงไปในทางหลักเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้น ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสิ้นสุดลงแล้วไม่นาน<br />
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าการบริหารประเทศท่ามกลางความขัดแย้งในเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ จึงประกาศปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา อันส่งผลให้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา นำกำลังทหารยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในวันที่ 20 มิถุนายน 2476 และหลังจากนั้น พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินสืบไป<br />
เมื่อรัฐบาลของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เข้าบริหารประเทศได้ไม่นาน ก็มีบุคคลคณะหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า คณะกู้บ้านกู้เมือง นำโดยพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช ได้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลในเดือนตุลาคม 2476 โดยอ้างว่ารัฐบาลได้ทำการหมิ่นประมาทองค์พระประมุขของชาติ และรับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นร่างเค้าโครงเศรษฐกิจอันอื้อฉาวเข้าร่วมในคณะรัฐบาล พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินการปกครองประเทศในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ในที่สุดรัฐบาลก็สามารถปราบรัฐประหารของคณะกู้บ้านกู้เมืองได้สำเร็จ<br />
หลังจากนั้นก็มีการจับกุมและกวาดล้างผู้ต้องสงสัยว่าจะร่วมมือกับคณะกู้บ้านกู้เมืองจนดูเหมือนว่าประเทศไทยมิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระยะนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นความขัดแย้งสืบต่อกันมาในยุคหลัง<br />
ปัญหาการเมืองดังกล่าว ได้กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันทางการเมืองในยุคหลังๆ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการพัฒนาการทางการเมืองมิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างธรรมเนียมการปกครองที่ไม่ถูกต้องให้กับนักการเมืองและนักการทหารในยุคหลังต่อๆมา ซึ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยต้องประสบกับความล้มเหลวเพราะการใช้กำลังบีบบังคับอยู่เป็นประจำถึงปัจจุบัน<br />
<br />
<b>2.ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ</b><br />
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของไทย แต่ถ้าพิจารณาถึงผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว ผลกระทบทางการเมืองจะมีมากกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เป็นเพราะความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นคนร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อนำเสนอนั้น มิได้รับการยอมรับจากคณะราษฎรส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบเศรษฐกิจภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงยังคงเป็นแบบทุนนิยมเช่นเดิม และโครงสร้างทางเศรษฐกิจยังคงเน้นที่การเกษตรกรรมมากว่าอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจากประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว<br />
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจก็พอจะมีอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เด่นชัดเท่ากับผลกระทบทางการเมืองก็ตาม จากการที่คณะราษฎรผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองตกลงกันได้แต่เพียงว่าจะเลิกล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ไม่สามารถจะตกลงอะไรได้มากกว่านั้น กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจจึงต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อบีบบังคับให้ระบบเศรษฐกิจและการเมืองเป็นไปตามที่ตนต้องการ นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์ที่ครอบครองที่ดินและทุนอันเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ก็รวมตัวกันต่อต้านกระแสความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินและเงินทุนจากของบุคคลเป็นระบบสหกรณ์<br />
<br />
<b>3.ผลกระทบทางด้านสังคม</b><br />
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมไทยได้รับผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงพอสมควร คือ ประชาชนเริ่มได้รับเสรีภาพและมีสิทธิต่างๆ ตลอดจนความเสมอภาคภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ในขณะที่บรรดาเจ้าขุนมูลนาย ขุนนาง ซึ่งมีอำนาจภายใต้ระบอบการปกครองดั้งเดิมได้สูญเสียอำนาจและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เคยมีมาก่อน โดยที่คณะราษฎรได้เข้าไปมีบทบาทแทนบรรดาเจ้านายและขุนนางในระบบเก่าเหล่านั้น<br />
เนื่องจากที่คณะราษฎรมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาของราษฎรอย่างเต็มที่ ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎรข้อที่ 6 ดังนั้น รัฐบาลจึงได้โอนโรงเรียนประชาบาลที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นให้เทศบาลเหล่านั้นรับไปจัดการศึกษาเอง เท่าที่เทศบาลเหล่านั้นจะสามารถรับโอนไปจากกระทรวงธรรมการได้ ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงการศึกษาของบุตรหลานของตนเอง นอกจากนั้นรัฐบาลได้กระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นด้วยการจัดตั้งเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร มีสภาเทศบาลคอยควบคุมกิจการบริหารของเทศบาลเฉพาะท้องถิ่นนั้นๆ โดยมีเทศมนตรีเป็นผู้บริหารตามหน้าที่<br />
พ.ศ.2479 รัฐบาลของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2479 โดยกำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท คือ สายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการเน้นความสำคัญของอาชีวศึกษาอย่างแท้จริง โดยได้กำหนดความมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เรียนจบการศึกษาในสายสามัญแตะละประโยคแต่ละระดับการศึกษา ได้เรียนวิชาอาชีพเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากเรียนวิชาสามัญ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการที่จะออกไปประกอบอาชีพต่อไป<br />
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 จึงได้นำไปสู่การปรับปรุงให้ราษฎรได้รับการศึกษา และสามารถใช้วิชาการความรู้ที่ได้รับจากการศึกษามาใช้ประกอบอาชีพต่อไปอย่างมั่นคงและมีความสุข <br />
การเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้ชนชั้นเจ้านายและขุนนางในระบบเก่าถูกลิดรอนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น พระมหากษัตริย์จะได้รับเงินจากงบประมาณเพียงปีละ 1-2 ล้านบาท จากเดิมเคยได้ประมาณปีละ 2-10 ล้านบาท เงินปีของพระบรมวงศานุวงศ์ถูกลดลงตามส่วน ขุนนางเดิมถูกปลดออกจากราชการโดยรับเพียงบำนาญ และเจ้านายบางพระองค์ถูกเรียกทรัพย์สินสมบัติคืนเป็นของแผ่นดินkanokwan jattureshttp://www.blogger.com/profile/17310845383713995577noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-42017771362008914302012-04-06T05:31:00.000-07:002012-04-06T05:32:10.070-07:00ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน<br />
<b>ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioeoegi8hsfTo9KW03I3SPvodWsdRswfUjyo9RRxyAQd6RkSOgrQE0Vaq0__aB-nujUgD-d3JuJNJsAJyvQOgFSYNVBiWXl6UJTiQz9IxrMSs-6wL-h4ivjwsVI_rqjGlEWGvQnroL_2mo/s1600/poll955.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioeoegi8hsfTo9KW03I3SPvodWsdRswfUjyo9RRxyAQd6RkSOgrQE0Vaq0__aB-nujUgD-d3JuJNJsAJyvQOgFSYNVBiWXl6UJTiQz9IxrMSs-6wL-h4ivjwsVI_rqjGlEWGvQnroL_2mo/s320/poll955.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nation Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) คือ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของอากาศซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันทำให้ส่วนประกอบของบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติในช่วงเวลาเดียวกัน<br />
<br />
ปรากฏการณ์เรือนกระจก นับเป็นสาเหตุพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยที่โลกมีระบบควบคุมอุณหภูมิของสภาพบรรยากาศอยู่แล้ว โดยรังสีจากดวงอาทิตย์จะแผ่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศและให้ความร้อนแก่โลก พลังงานบางส่วนทำให้โลกอบอุ่น ก่อนจะถูกแผ่กลับออกห้วงอวกาศในรูปรังสีอินฟราเรด โดยในภาวะปกติรังสีอินฟราเรดที่ถูกแผ่ออกไปบางส่วนจะถูกชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บไว้ตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิของโลกอยู่ในระดับพอเหมาะ<br />
<br />
โลกกำลังเผชิญกับปัญหาที่ชั้นบรรยากาศของโลกกลับหนาขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ เมื่อชั้นบรรยากาศหนาขึ้น จะกักเก็บรังสีอินฟราเรดซึ่งควรจะหลุดลอดไปสู่ห้วงอวกาศ ผลที่ตามมา คืออุณหภูมิของบรรยากาศโลก และมหาสมุทร กลับอุ่นขึ้นจนอยู่ในระดับอันตราย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpeGJq8z9FG5INcSzX8c38qNeyxvT1MFS3pAQm1oxhXZ7k4I9HbOGO_BSUnJwDzuZu1WF9iKQujZY_m1CwdiDc3qjqlFx7NWO0WXHc0SSOXo1Q6itCAk8H1AU8aAWFUPVjI6nwUywowX4s/s1600/21797.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpeGJq8z9FG5INcSzX8c38qNeyxvT1MFS3pAQm1oxhXZ7k4I9HbOGO_BSUnJwDzuZu1WF9iKQujZY_m1CwdiDc3qjqlFx7NWO0WXHc0SSOXo1Q6itCAk8H1AU8aAWFUPVjI6nwUywowX4s/s320/21797.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
ภาวะโลกร้อนส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พ.ศ. 2538 – 2549 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 และเกิดเหตุการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รวมทั้งเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลก เช่น เฮอริเคน ไต้ฝุ่น โคลนถล่ม ภัยแล้ง และน้ำท่วม ในทั่วภูมิภาคเอเชียและอเมริกากลาง ในขณะที่ทวีปยุโรปต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของกลไกธรรมชาติของโลกที่นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ<br />
<br />
จากสถานการณ์โลกร้อน จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของมนุษย์ในหลายด้าน (IPCC, 2002) คือ<br />
<br />
1) ผลกระทบต่อความมั่นคงของแหล่งอาหารและน้ำจืด ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพทางการเกษตร ปศุสัตว์และการประมงลดลง<br />
<br />
2) ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และความหลากหลายทางชีวภาพ พืชและสัตว์บางชนิดสูญพันธ์ มีผลต่อสมดุลระบบนิเวศน์<br />
<br />
3) ผลกระทบต่อการอพยพถิ่นฐานของประชาชกรโลกเนื่องจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้ง และความขัดแย้งจากการขาดแคลนอาหารเพื่อแย่งหาแหล่งน้ำและพื้นที่ทำกิน<br />
<br />
4) ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย การแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ เจ็บป่วยจากอุณหภูมิสูง และเครียดจากการปรับตัวทางเศรษฐกิจและสังคม และภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อย<br />
<br />
ปัจจุบันการรับรู้และทัศนคติของสาธารณชนในความห่วงใยต่อสาเหตุและความสำคัญของปรากฏการณ์โลกร้อนมีมากขึ้น และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์โลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ชาติต่าง ๆ รวมทั้งชุมชนและองค์การในภูมิภาคต่าง ๆ เริ่มปฏิบัติการเพื่อหยุดการร้อนขึ้นของโลก<br />
<br />
ข้อตกลงอันกับต้นของโลกว่าด้วยการต่อสู้เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกคือ <span style="color: blue;">พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal)</span> ซึ่งเป็นกฏหมายระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดพันธกรณีที่จะทำให้การลด<span style="color: blue;">ก๊าซเรือนกระจก</span>เป็นจริงในทางปฏิบัติมากขึ้นจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยได้เจรจาต่อรองและตกลงกันเมื่อปี พ.ศ. 2540 ปัจจุบันพิธีสารดังกล่าวครอบคลุมประเทสค่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 160 ประเทศและรวมปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 65 % ของทั้งโลก<br />
<br />
หลักการสำคัญของพิธีสารฯ ใช้หลักการรับผิดชอบโดยแบ่งกลุ่มประเทศตามระดับแตกต่างกันทั้งจากปัจจัยเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจ และสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกล่าวคือ<br />
<br />
ประเทศอุตสาหกรรมต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้กับปัญหา และประเทศกำลังพัฒนาดำเนินการตามกำลังและความสามารถ นโยบายและข้อตกลงในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก คือให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว (43 ประเทศ) มีพันธกรณีที่ต้องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามอนุสัญญาฯ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ (เช่น ASEAN จีน อินเดีย) ไม่มีพันธกรณีในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้สหรัฐฯ ใช้อ้างเป็นเหตุผลที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันในพิธีสารดังกล่าว ทั้งที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก (IPCC.2002)<br />
<br />
สหรัฐฯ ให้เหตุผลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเพราะยังมีการยกเว้นให้ประเทศอื่น ๆ ในโลกมากกว่าร้อยละ 80 ของประเทศที่ลงนามทั้งหมด รวมทั้งประเทศที่เป็นศูนย์รวมประชากรที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ จีน และอินเดีย อย่างไรก็ดี ยังมีรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมากในสหรัฐฯ ที่ริเริ่มโครงการรณรงค์วางแนวปฏิบัติของตนเองให้เป็นไปตามพิธีสารเกียวโตตัวอย่างเช่น การริเริ่มก๊าซเรือนกระจกภูมิภาค ซึ่งเป็นโปรแกรมการหยุดและซื้อเครดิตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับรัฐ<br />
<br />
นอกจากนี้ ประเด็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนำไปสู่การอภิปรายเกี่ยวกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาใหม่ (nowly developed economies) อย่างประเทศจีนและอินเดีย ว่าควรบังคับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าใด โดยมีการคาดกันว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์รวมของประเทศจีนจะสูงกว่าอัตราการปล่อยของสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้<br />
<br />
สถานการณ์ภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศ ฤดูกาล และปริมาณน้ำฝน ล้วนมีผลกระทบต่อประเทสไทยไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ในโลก โดยสังเกตุได้จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีทั้งภัยแล้ง พายุ และน้ำท่วม ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เห็นได้ชัดเจนในระยะสั้นแก่ประเทศไทยได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมาก โดยผลกระทบดังกล่าว อาจส่งผลต่อสถานะของไทยในการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอันดับต้นของโลก รวมถึงการส่งเสริมยุทธศาสตร์การค้าครัวไทยสู่ครัวโลก<br />
<br />
โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ได้แก่ ข้าว เนื่องจากมีรายงานการวิจัยจากสถาบันข้าวนานาชาติในประเทศจีนพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นในนาข้าวมีผลต่อละอองเรณูซึ่งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิอย่างมาก ทำให้ผสมไม่ติดข้าว โดยในรวงข้าวไม่มีเมล็ด จากผลรายงานดังกล่าวย่อมมีผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกข้าวของไทยในอนาคต หากปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น<br />
<br />
ประเทศไทยได้ร่วมลงนามและให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2542 และเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2545 ตามลำดับ พิธีสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาตามบัญชีประเทศของอนุสัญญาฯ ที่ไม่มีพันธกรณีในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) ตามพิธีสาร ฯ ได้ ทั้งนี้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มวางแผนการดำเนินงานตามพิธีสาร ฯ ในการทำ CDM เพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากโครงการนี้ในหลายด้าน เช่น ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศ มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สะอาด และถ่ายทอดเทคโนโลยี และความรู้ด้านการจัดการ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้แพร่หลายในประเทศ เป็นต้น<br />
<br />
จากการศึกษาสถานการณ์ภาวะโลกร้อนข้างต้น แม้จะเป็นภัยคุกคามต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยอาจสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในด้านต่าง ๆ จากภาวะโลกร้อนได้ โดยจะเชื่อมโยงโอกาสดังกล่าวตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้<br />
<br />
<b>การผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด</b><br />
<br />
สร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ โดยพัฒนาสินค้า/เทคโนโลยีที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก หรือสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณน้อยลง โดยครอบคลุมสินค้าตั้งแต่ของใช้สอยประจำวัน จนถึงภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งภาคบริการที่เน้นกิจกรรมช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น<br />
<br />
เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยต่อการค้าระหว่างประเทศในอนาคตที่อาจมีการพัฒนาเงื่อนไขของการกีดกันการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมาตรการป้องกันภาวะโลกร้อน โดยอาจระบุสินค้าที่จะนำเข้าประเทศนั้น ในกระบวนการผลิตต้องไม่มส่วนในการทำลายชั้นบรรยากาศ หากผู้ประกอบการในประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานเหล่านี้ อาจสูญเสียโอกาสทางการตลาดของโลกได้<br />
<br />
<b>มุ่งพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-u4Gzl-o0S_aVW-1epcuYKAYxmxHr_w2pmLiQ1w2GaY6sotdRTddiz91WcaomyNGfM79zxHZ2ZVavSwTwfYnu94rrU8sIuGASsYDnauZDObnZf2oMkjCIG5wtjTuuTZd8ugPpWVAYUSwE/s1600/441_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-u4Gzl-o0S_aVW-1epcuYKAYxmxHr_w2pmLiQ1w2GaY6sotdRTddiz91WcaomyNGfM79zxHZ2ZVavSwTwfYnu94rrU8sIuGASsYDnauZDObnZf2oMkjCIG5wtjTuuTZd8ugPpWVAYUSwE/s320/441_1.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
สร้างเกราะป้องกันแก่สินค้าเกษตรไทยจากภาวะโลกร้อน โดยประสานหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้ตระหนักต่อผลกระทบของโลกร้อนต่อผลผลิตทางการเกษตรเพื่อกระตุ้นให้มีการวิจัยด้านการพัฒนาพันธุ์พืชเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะพันธุ์ข้าว ให้มีความทนต่ออุณหภูมิสูง แต่ยังให้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ เพื่อประเทศไทยจะมีผลผลิตทางการเกษตรสนองตอบต่อความต้องการของตลาดในประเทศ และสามารถรักษาตลาดส่งออกสินค้าเกษตร แม้จะมีการแปรปรวนทางสภาพอากาศมากขึ้นในอนาคต<br />
<br />
ปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อผลผลิตทางการเกษตร การติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของประเทศคู่แข่งทางด้านสินค้าเกษตร ควบคู่ตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์อุปสงค์อุปทานของสินค้าเกษตรในตลาดโลก และกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากขึ้น<br />
<br />
<b>เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากโครงการ กลไกการพัฒนาที่สะอาด</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3o7NA6Usk0ktJBcaGblHCvmdGqER0xrQlClFUmXQ3z-JJBb8aDlFVSMhNUJavVQE8bqCWG107qIwRD7kItFsLql6Ig4LvYatOnpWcZTPtCiOYh8G-Znd3CnOALvT9DUbgeCq-bWDh3kNH/s1600/News_290410_6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3o7NA6Usk0ktJBcaGblHCvmdGqER0xrQlClFUmXQ3z-JJBb8aDlFVSMhNUJavVQE8bqCWG107qIwRD7kItFsLql6Ig4LvYatOnpWcZTPtCiOYh8G-Znd3CnOALvT9DUbgeCq-bWDh3kNH/s1600/News_290410_6.jpg" /></a></div>
<br />
การใช้ประโยชน์จากโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ตามพิธีสารเกียวโต ซึ่งเป็นกลไกตามข้อตกลงเกียวโตที่ให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถดำเนินการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา และนำปริมาณก๊าซฯ ที่ลดได้ไปคำนวณเป็นเครดิตของประเทศตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายตามพันธกรณี ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับประโยชน์ด้านการลงทุน เช่น เทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด การถ่ายทอดเทคโนโลยี การจ้างงาน และสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH6X9gN1VrCycqzgvlibQIvZpPCSPI9jpB5Ofma5hldrPMn2U7PcyvgL_AXTESSeGqmXxGsJmKnM3-lkjQJYExGVAHlThdEFxWZVVmUojzjEk239XCPcAtDbj_59A-LfruI7mCzLLK6nzl/s1600/71676n_002_L.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH6X9gN1VrCycqzgvlibQIvZpPCSPI9jpB5Ofma5hldrPMn2U7PcyvgL_AXTESSeGqmXxGsJmKnM3-lkjQJYExGVAHlThdEFxWZVVmUojzjEk239XCPcAtDbj_59A-LfruI7mCzLLK6nzl/s320/71676n_002_L.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
อ้างอิง <a href="http://www.baanjomyut.com/library/global_warming/thai_global_warming.html">http://www.baanjomyut.com/library/global_warming/thai_global_warming.html</a><br />
รูปภาพได้มาจาก <a href="https://www.google.co.th/search?um=1&hl=th&q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.,cf.osb&biw=1280&bih=656&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi&ei=8N1-T9KGHo6nrAfBxr3oBQ">https://www.google.co.th/search?um=1&hl=th&q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.,cf.osb&biw=1280&bih=656&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi&ei=8N1-T9KGHo6nrAfBxr3oBQ</a><br />
<br />
สภาวะโลกร้อน<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/vehCQBsHQAA" width="420"></iframe><br />
<br />
อ้างอิง http://www.youtube.com/watch?v=vehCQBsHQAAพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-68330178452197312482012-04-06T04:58:00.000-07:002012-04-06T05:12:07.953-07:00ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพีย<br />
<b>ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพีย</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcyEcDkHKt_4Y1-BeHSIZ1mT0N9BcNXU7x7B0Vi4ws3KE0H62HHuRuTt3q8mzsjc0eeZKOE3xCQnlISwTYGNXeQFnt_juBuLRJgxXSIE11wFPr242Evc7GaFSLAMnWqdk9-AYqasWLbLF1/s1600/sample_a_economist01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="226" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcyEcDkHKt_4Y1-BeHSIZ1mT0N9BcNXU7x7B0Vi4ws3KE0H62HHuRuTt3q8mzsjc0eeZKOE3xCQnlISwTYGNXeQFnt_juBuLRJgxXSIE11wFPr242Evc7GaFSLAMnWqdk9-AYqasWLbLF1/s320/sample_a_economist01.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
ที่มาของรูปภาพ : http://www.mylifewithhismajestytheking.com/freepage/images/a_economist01/sample_a_economist01.jpg<br />
<br />
เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรายได้ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซึ่งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้เป็นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้ เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้<br />
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ<br />
<br />
โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม<br />
<ul>
<li> <b>จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง</b></li>
</ul>
ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน<br />
<br />
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย<br />
<br />
แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตกสลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่มสูญหายไป<br />
<br />
สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี<br />
<ul>
<li> <b>พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง</b> </li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitSaRu3mPStFJUzLUHterhc4AyDUN-YLiJojkV-oeIVQaso0r4Ud7tXiuO7_ZWvW4Vmzt5d63ZE1z_fPfiUkGV975ns_cxELCY2JDS5FFoaJ24zWzHG1Do7T-GLqah6bua1NAUmFxo9Z4y/s1600/qq12.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitSaRu3mPStFJUzLUHterhc4AyDUN-YLiJojkV-oeIVQaso0r4Ud7tXiuO7_ZWvW4Vmzt5d63ZE1z_fPfiUkGV975ns_cxELCY2JDS5FFoaJ24zWzHG1Do7T-GLqah6bua1NAUmFxo9Z4y/s320/qq12.jpg" width="318" /></a></div>
<div>
<br /></div>
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)<br />
<br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี <b>เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย </b>เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี <b>“สติ ปัญญา และความเพียร” </b>ซึ่งจะนำไปสู่ <b>“ความสุข” </b>ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง<br />
<br />
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)<br />
<br />
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ <b>จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน</b> เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น<br />
<br />
ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ <b>ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน</b> เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป<br />
<b>ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว </b><br />
<b> แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง </b><br />
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)<br />
<br />
<b>เศรษฐกิจพอเพียง </b><br />
<br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ<br />
<br />
<b>ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHhIMLU6-jnouCg53HADIwzNqgZzUPjNlghxrapdQBIOwdx46FMES-KuLOCNEmBeJo6n8eyekqqFt2dRuc7N_y1TN84jBn-6zit9dTNePGaSc_ixMC7kYnzy_3QvU8lFQ96j25Os_bOl4_/s1600/48473.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHhIMLU6-jnouCg53HADIwzNqgZzUPjNlghxrapdQBIOwdx46FMES-KuLOCNEmBeJo6n8eyekqqFt2dRuc7N_y1TN84jBn-6zit9dTNePGaSc_ixMC7kYnzy_3QvU8lFQ96j25Os_bOl4_/s320/48473.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี<br />
<b>ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้ </b><br />
<br />
๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ<br />
<br />
๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ<br />
<br />
๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต<br />
<br />
โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้<br />
<br />
๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ<br />
<br />
๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต<br />
<br />
<b>พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง </b><br />
<br />
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙<br />
<br />
“...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔<br />
<br />
“...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖<br />
<br />
“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙<br />
<br />
“...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙<br />
<br />
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.<br />
<br />
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑<br />
<br />
“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑<br />
<br />
“...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒<br />
<br />
“...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒<br />
<br />
“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...”<br />
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล<br />
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔<br />
<ul>
<li><b>การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง </b></li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuNWp7jCCj4x70mZBFq2L6jLQPVSDdckZ4NPBUOaFmGaipyPEUIzPFPYMU6jAu_pyfyiUch-YLtMGDQwdlhpa0e_9kUGPmM4Gttph3LKTYbpnlFZvM6K7YHDcizaJbivqhXEF1CWU0aGM6/s1600/9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="234" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuNWp7jCCj4x70mZBFq2L6jLQPVSDdckZ4NPBUOaFmGaipyPEUIzPFPYMU6jAu_pyfyiUch-YLtMGDQwdlhpa0e_9kUGPmM4Gttph3LKTYbpnlFZvM6K7YHDcizaJbivqhXEF1CWU0aGM6/s320/9.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
<b><br /></b></div>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้<br />
<br />
แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง<br />
<br />
๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต<br />
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต<br />
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง<br />
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ<br />
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา<br />
<ul>
<li><b>ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง </b></li>
<li><b> ทฤษฎีใหม่</b></li>
</ul>
ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก<br />
ความเสี่ยงที่เกษตรกร มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย<br />
๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร<br />
๒. ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ<br />
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง<br />
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด<br />
๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต<br />
- ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช<br />
- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน<br />
- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน<br />
ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<ul>
<li> <b>ทฤษฎีใหม่</b></li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgskqErcZMQMJisdOKhDWk5BghZAd8Ns1NbMKF29RBe8xi4g5mpTsRit75OQKXFkmJVntdP0basyNkfd6Lgpbi6vBBBj5TaiQA08X0fxg6DOLV1UKW2kDTFmCGgBLd4USt23guSIlH9nZTC/s1600/3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgskqErcZMQMJisdOKhDWk5BghZAd8Ns1NbMKF29RBe8xi4g5mpTsRit75OQKXFkmJVntdP0basyNkfd6Lgpbi6vBBBj5TaiQA08X0fxg6DOLV1UKW2kDTFmCGgBLd4USt23guSIlH9nZTC/s320/3.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<br />
<b>ความสำคัญของทฤษฎีใหม่ </b><br />
๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน<br />
๒. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี<br />
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน<br />
<br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น </b><br />
ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง<br />
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ<br />
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้<br />
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย<br />
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ<br />
<b><br /></b><br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง </b><br />
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน<br />
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)<br />
- เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก<br />
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)<br />
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย<br />
(๓) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)<br />
- ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง<br />
(๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)<br />
- แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน<br />
(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)<br />
- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง<br />
(๖) สังคมและศาสนา<br />
- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว<br />
โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ<br />
<b><br /></b><br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม </b><br />
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต<br />
ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ<br />
- เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)<br />
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)<br />
- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)<br />
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น<br />
<ul>
<li> <b>หลักการและแนวทางสำคัญ </b></li>
</ul>
๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วย<br />
<br />
๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ<br />
<br />
๓. ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี<br />
<br />
ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วย<br />
- นาข้าว ๕ ไร่<br />
- พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่<br />
- สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง<br />
- ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่<br />
รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่<br />
แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้<br />
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี<br />
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ<br />
การมีสระเก็บน้ำก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี<br />
<br />
๔. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ<br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบได้<br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา<br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)<br />
ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุก หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโชน์อื่นต่อไปได้<br />
<br />
๕. การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน<br />
<br />
๖. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง<br />
<br />
<b>ตัวอย่างพืชที่ควรปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง </b><br />
ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน ฯลฯ<br />
<br />
ผักล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น<br />
<br />
เห็ด : เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น<br />
<br />
สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น<br />
<br />
ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัน และยางนา เป็นต้น<br />
<br />
พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้ และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ข้าวโพด ถัวเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง<br />
<br />
พืชบำรุงดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขี้เหล็ก กระถิน รวมทั้งถั่วเขียวและถั่วพุ่ม เป็นต้น และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบลงไปเพื่อบำรุงดินได้<br />
<br />
หมายเหตุ : พืชหลายชนิดใช้ทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งชนิด และการเลือกปลูกพืชควรเน้นพืชยืนต้นด้วย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เช่น ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น<br />
<br />
สัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้แก่<br />
สัตว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพื่อเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน และยังสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นที่สามารถเลี้ยงกบได้<br />
สุกร หรือ ไก่ เลี้ยงบนขอบสระน้ำ ทั้งนี้ มูลสุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา บางแห่งอาจเลี้ยงเป็ดได้<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ </b><br />
<br />
๑. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”<br />
<br />
๒. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน<br />
<br />
๓. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดย<br />
ไม่เดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ<br />
<br />
๔. ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย<br />
<ul>
<li><b>ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์ </b> </li>
</ul>
ทฤษฎีใหม่ที่ดำเนินการโดยอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำฝน จะอยู่ในลักษณะ “หมิ่นเหม่” เพราะหากปีใดฝนน้อย น้ำอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้น การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้น จำเป็นต้องมีสระเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยการมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่เสมอ ดังเช่น กรณีของการทดลองที่โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี<br />
<br />
ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์<br />
อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก เติมสระน้ำ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDHaWyg7jMtyXpuYkIQS2wanP6WNzlYVavQtYit4OT62Nlnud07EoYNwi_bO5ytRJr41uuG6bE9IeGHaB0bvAdU349R3lxySTprXp-0Bl3p5MSIEKbdYMIGuGmFDUNm14Nk6QsisTPp6sD/s1600/p2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="293" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDHaWyg7jMtyXpuYkIQS2wanP6WNzlYVavQtYit4OT62Nlnud07EoYNwi_bO5ytRJr41uuG6bE9IeGHaB0bvAdU349R3lxySTprXp-0Bl3p5MSIEKbdYMIGuGmFDUNm14Nk6QsisTPp6sD/s320/p2.jpg" width="320" /></a> </div>
จากภาพ วงกลมเล็ก คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่ เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อทางท่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง ซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี<br />
<br />
กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้วิธีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่) ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำมาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสี่ยง<br />
<br />
ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด จากระบบส่งท่อเปิดผ่านไปตามแปลงไร่นาต่างๆ ถึง ๓-๕ เท่า เพราะยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้ำในอ่างเก็บน้ำแล้ว ยังมีน้ำในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มอย่างมหาศาล น้ำในอ่างที่ต่อมาสู่สระจะทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรอง คอยเติมเท่านั้นเอง<br />
<ul>
<li> <b>แปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ของมูลนิธิชัยพัฒนา </b></li>
</ul>
ท่านที่สนใจสามารถขอคำปรึกษาและเยี่ยมชมแปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ได้ ดังนี้<br />
<br />
๑. สำนักบริหารโครงการ สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา<br />
โทรศัพท์ ๐ ๒๒๘๒ ๔๔๒๕ โทรสาร ๐ ๒๒๘๒ ๓๓๔๑<br />
<br />
๒. โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี<br />
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๖๔๙ ๙๑๘๑<br />
<br />
๓. โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริ (ทฤษฎีใหม่) อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี<br />
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๒๓๓ ๗๔๐๗<br />
<br />
๔. โครงการสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี<br />
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๒๕๙ ๔๐๖๗<br />
<br />
๕. โครงการสาธิตทฤษฎีใหม่ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์<br />
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๔๓๘๕ ๙๐๘๙<br />
<br />
๖.โครงการสาธิตทฤษฎีใหม่ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา<br />
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๔๔๓๒ ๕๐๔๘<br />
<br />
อ้างอิง <a href="http://www.thaigoodview.com/node/87945">http://www.thaigoodview.com/node/87945</a><br />
<a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html">http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html</a>
<br />
<br />
เศรษฐกิจพอเพียง<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/7BmLyQhbtjs" width="420"></iframe>
<br />
<br />
อ้างอิง http://www.youtube.com/watch?v=7BmLyQhbtjsพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-77453257200696847872012-04-06T04:17:00.003-07:002012-04-06T04:18:29.764-07:00ไทยกับอาเซียน<br />
<b>ไทยกับอาเซียน</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh186vRRe99UqfT2ccHN766TENYMkISVcdEe5IN1eCSTHjZG0MQCgInOBQSR5hiJCgQUASXKqabB-LAzjk5ooQGcKyJfEocdU078gBAOCwX-8v00hsnR05X0tYY76Uq5SnP47tfFjzUb8ur/s1600/asean_flags.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="186" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh186vRRe99UqfT2ccHN766TENYMkISVcdEe5IN1eCSTHjZG0MQCgInOBQSR5hiJCgQUASXKqabB-LAzjk5ooQGcKyJfEocdU078gBAOCwX-8v00hsnR05X0tYY76Uq5SnP47tfFjzUb8ur/s320/asean_flags.gif" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 5 ของสมาชิกผู้ก่อตั้งและเป็นจุดกำเนิดของอาเซียน ไทยมีบทบาทอย่างแข็งขันในกิจกรรมของอาเซียนตลอดมา รวมทั้งยังมีส่วนผลักดันให้อาเซียนมีโครงการความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่ทันการณ์และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ระหว่างประเทศ อาทิ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน การประชุมอาเซียนว่าด้วยความ ร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกันอาเซียนก็มีความสำคัญต่อประเทศไทยโดยนอกจากจะสร้างพันธมิตรและความเป็นปึกแผ่น ตลอดจนเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาระหว่างประเทศ และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาข้ามชาติ และการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้น ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในอาเซียนได้เปิดโอกาสให้มีการขยายตัวด้านการค้าและการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งนำผลดีมาสู่เศรษฐกิจของประเทศไทยและของประเทศสมาชิกอาเซียนโดยส่วนรวม</div>
<br />
<b>ความสัมพันธ์กับประเทศไทย</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBJ1fMNauv7XnXJPIta5uzlHeX3QctsHZeNgxnTtgj7pkFFy9I8RyWXi5qv40oLGrQ4qMqeGgbLlyE_coSukBOkMaRMgmUN_lGauJ6YCJyNU2fsIcUfJL1FtXtFqAu7nFIew2r_xSxodvn/s1600/20090227121223.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBJ1fMNauv7XnXJPIta5uzlHeX3QctsHZeNgxnTtgj7pkFFy9I8RyWXi5qv40oLGrQ4qMqeGgbLlyE_coSukBOkMaRMgmUN_lGauJ6YCJyNU2fsIcUfJL1FtXtFqAu7nFIew2r_xSxodvn/s320/20090227121223.jpg" width="320" /></a></div>
<ol>
<li style="text-align: justify;">ประเทศไทยได้รับสิทธิพิเศษทางด้านการค้า ด้วยการได้ลดหย่อนอัตราภาษีศุลกากร</li>
<li style="text-align: justify;">ด้านอุตสาหกรรม ไทยได้รับสิทธิในการผลิตเกลือหิน และโซดาแอช ตัวถังรถยนต์</li>
<li style="text-align: justify;">ด้านการธนาคาร จัดตั้งบรรษัทการเงินของอาเซียน จัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการประกันภัยแห่งอาเซียน</li>
<li style="text-align: justify;">ด้านการเกษตร การสำรองอาหารเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โครงการปลูกป่า</li>
<li style="text-align: justify;">ด้านการเมือง สมาชิกของอาเซียนช่วยแบ่งเบาภาระของประเทศไทยเกี่ยวกับปัญหาผู้อพยพ</li>
<li style="text-align: justify;">ด้านวัฒนธรรม มีโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิก ทำให้แต่ละประเทศมีความเข้าใจดีต่อกัน</li>
</ol>
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยมีบทบาทเชิงรุกทั้งในแง่การก่อตั้งและการพัฒนาให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีความสำเร็จ เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญของภูมิภาคนี้ ในส่วนของการก่อตั้ง ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียนในปี พ.ศ. 2510 ในส่วนของการพัฒนา ไทยยังมีบทบาทที่สำคัญ ดังนี้</div>
<ul>
<li style="text-align: justify;">มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพในกัมพูชา</li>
<li style="text-align: justify;">การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area) ในปี พ.ศ. 2535</li>
<li style="text-align: justify;">ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก หรือ ARF- ASEAN Regional Forum ซึ่งเป็นเวทีที่ใช้พูดคุยปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2537</li>
<li style="text-align: justify;">ความริเริ่มเชียงใหม่และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ. 2540</li>
</ul>
<div style="text-align: justify;">
การก่อตั้งในช่วงนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางความคุกกรุ่นของสงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างประเทศมหาอำนาจในโลกเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางความหวาดวิตกของประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาที่หวั่นเกรงถึงการแพร่ขยายของแนวคิดคอมมิวนิสต์ของรัสเซียและจีนที่จะครอบคลุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามทฤษฎีโดมิโน </div>
<div style="text-align: justify;">
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสำคัญในภูมิภาคนี้ เช่น กรณีเวียดนามรุกรานกัมพูชาเมื่อเดือนธันวาคม 1978 (พ.ศ.2521) โดยอาเซียนได้ปฏิเสธความชอบธรรมของรัฐบาลในพนมเปญที่ตั้งคณะรัฐบาลด้วยการยึดครองของกองทัพเวียดนาม พร้อมกับเรียกร้องให้เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาในเดือนกันยายน 1989 (พ.ศ.2532) หรือการก่อตั้งการประชุมอาเซียนว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเออาร์เอฟ ภายหลังความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกัมพูชาในปี 1993 (พ.ศ.2536) เพื่อให้เป็นเวทีที่ขยายกว้างขึ้นในการหารือประเด็นเรื่องความมั่นคง</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ส่วนในประเด็นเศรษฐกิจ อาเซียนได้มีการบรรลุข้อตกลงในการก่อตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) จากการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ในปีเดียวกัน และหลังจากนั้นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก็ได้กำหนดวิสัยทัศน์อาเซียน 2020 ที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้ โดยมุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของสินค้า การบริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020 (พ.ศ.2563) พร้อมมุ่งที่จะจัดตั้งให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและเป็นฐานการผลิต โดยจะริเริ่มกลไกและมาตรการใหม่ๆ ในการปฏิบัติตามข้อริเริ่มทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้ว และให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน อันได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม หรือ CLMV เพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนา และช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมในกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาค ตลาดการเงิน และตลาดเงินทุน การประกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม กรอบความร่วมมือด้านกฎหมาย การพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 4 ปี 2535 (ค.ศ. 1992) ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน</div>
<ul>
<li style="text-align: justify;">มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area – AFTA) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก</li>
<li style="text-align: justify;">โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี </li>
</ul>
<div style="text-align: justify;">
ตั้งแต่ปี 2540 (ค.ศ. 1997) อาเซียนได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน โดยได้มีการแถลง ASEAN Vision 2020 ซึ่งต่อมาได้กำหนดให้มีการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) ภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) รวมทั้งได้ริเริ่มการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting – AFMM)1/ และความร่วมมือกับประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
จากความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 13 ปี 2550 (ค.ศ. 2007) ณ ประเทศสิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบที่จะให้เร่งการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจากปี 2563 (ค.ศ. 2020) เป็นปี 2558 (ค.ศ. 2015) โดยได้ร่วมลงนามในแผนการดำเนินงานไปสู่การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint – AEC Blueprint)</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่สิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนยังได้ให้การรับรองกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งกรอบทางสถาบันและกฎหมายสำหรับอาเซียนในการเป็นองค์กรระหว่างประเทศชั้นนำในภูมิภาค โดยกฎบัตรอาเซียนจะมีผลบังคับใช้หลังประเทศสมาชิกทุกประเทศให้สัตยาบัน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://www.baanjomyut.com/library_2/asean_community/07.html">http://www.baanjomyut.com/library_2/asean_community/07.html</a><br />
<br />
<br /></div>
ประชาคมอาเซียน2558 ต้องรับมืออย่างไร
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/Ku-2hE4a1cY" width="560"></iframe><br />
<br />
อ้างอิง http://www.youtube.com/watch?v=Ku-2hE4a1cY&feature=relatedพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-84561200724623627452012-04-06T04:00:00.001-07:002012-04-06T04:00:31.749-07:00กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)<br />
<b>กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)</b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
กระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย (อังกฤษ: Ministry of Public Health of Thailand) เป็นหน่วยงานราชการไทย ประเภทกระทรวง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี</div>
<br />
<br />
<div style="font-weight: bold;">
สำนัก</div>
<div style="font-weight: bold;">
<br /></div>
เลขที่ 88/20 หมู่ที่ 4 ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000<br />
<div style="font-weight: bold;">
<br /></div>
<div style="font-weight: bold;">
ภาพรวม</div>
<div style="font-weight: bold;">
<br /></div>
วันก่อตั้ง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> พ.ศ. 2485<br />
งบประมาณ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 86,904.5 ล้านบาท (พ.ศ. 2554)[1]<br />
รัฐมนตรีว่าการ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiy-A6GpYF_awlI5P_2H6Qg3dP0rjdFgUkKugk5EzQL_AyzdLr6U8HgqCT_xD6Ig80xu5JFS7XtdqvHF2AWTESXdtosoY3O-chuAug-VesX3D4ZDVU7qi3fq9otWfHTjeDt4cdUsLKEPMDm/s1600/0_%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2+%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4+%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiy-A6GpYF_awlI5P_2H6Qg3dP0rjdFgUkKugk5EzQL_AyzdLr6U8HgqCT_xD6Ig80xu5JFS7XtdqvHF2AWTESXdtosoY3O-chuAug-VesX3D4ZDVU7qi3fq9otWfHTjeDt4cdUsLKEPMDm/s320/0_%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2+%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4+%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82.jpg" width="207" /></a></div>
<br />
วิทยา บุรณศิริ, รัฐมนตรี<br />
สุรวิทย์ คนสมบูรณ์, รัฐมนตรีช่วย<br />
ผู้บริหาร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ไพจิตร์ วราชิต, ปลัด<br />
อภิชัย มงคล, รองปลัด<br />
นิทัศน์ รายยวา, รองปลัด<br />
โสภณ เมฆธน, รองปลัด<br />
สมชัย นิจพานิช, รองปลัด<br />
วุฒิไกร มุ่งหมาย, สาธารณสุขนิเทศก์<br />
เว็บไซต์ MOPH.go.th<br />
<br />
<b><br /></b><br />
<b>ประวัติ</b><br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งกรมการพยาบาลขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2431 เพื่อให้ควบคุมดูแลกิจการศิริราชพยาบาลสืบแทนคณะกรรมการสร้างโรงพยาบาลวังหน้า กรมพยาบาลมีหน้าที่จัดการศึกษาวิชาแพทย์ ควบคุมโรงพยาบาลอื่น ๆ และจัดการปลูกฝีเป็นทานแก่ประชาชน<br />
<br />
พ.ศ. 2432 กรมพยาบาลก็ย้ายมาสังกัดในกระทรวงธรรมการ เริ่มมีแพทย์ประจำเมืองขึ้นในบางแห่ง มีการนำยาตำราหลวงออกจำหน่วยในราคาถูกและตั้งกองแพทย์ไปป้องกันโรคระบาด<br />
<br />
พ.ศ. 2448 (ร.ศ. 124) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกรมพยาบาลและตำแหน่งอธิบดีกรมพยาบาล อธิบดีกรมพยาบาลคนสุดท้ายคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา และให้โรงพยาบาลอื่นที่สังกัดกรมพยาบาลไปขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล ยกเว้นโรงศิริราชพยาบาล คงให้เป็นสาขาของโรงเรียนราชแพทยาลัย ส่วนกองโอสถศาลารัฐบาล กองทำพันธุ์หนองฝี กองแพทย์ป้องกันโรคและแพทย์ประจำเมือง ยังคงสังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการตามเดิม<br />
<br />
พ.ศ. 2451 กระทรวงมหาดไทยได้ขอโอนกองโอสถศาลารัฐบาล กองทำพันธุ์หนองฝี กองแพทย์ป้องกันโรค และแพทย์ประจำเมืองมาอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในชั้นแรกให้สังกัดอยู่ในกรมพลำภังค์<br />
<br />
ต่อมากระทรวงมหาดไทยมีความประสงค์จะปรับปรุง กิจการของกรมพยาบาลให้กว้างขวางและก้าวหน้ายิ่งขึ้น จึงนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขอพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนชื่อกรมพยาบาลเป็นกรมประชาภิบาล และได้รับพระบรมราชานุญาตตามสำเนาพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2459<br />
<br />
ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ได้ประกาศตั้งกรมสาธารณสุข โดยเปลี่ยนจากกรมประชาภิบาล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมมหาวิทยาลัยเป็นอธิบดีกรมสาธารณสุข กรมสาธารณสุขอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2485 จึงได้มีการสถาปนากรมสาธารณสุขขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุข<br />
<br />
<b>ตรากระทรวงสาธารณสุข</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUNlm9zfm1Dz4u5-nCnN_b-hI7YF1UTD-Wpv3BogwyCzr_MrJqfo2XueuzolQHI1fclU7LuZCpqPgRGT-VOqnnyNeVc15hu5-B91t660qdVE-sB1RCO8x0_VjcX3WmP1Sce4_8wGYF7EAi/s1600/MOPH_logo.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUNlm9zfm1Dz4u5-nCnN_b-hI7YF1UTD-Wpv3BogwyCzr_MrJqfo2XueuzolQHI1fclU7LuZCpqPgRGT-VOqnnyNeVc15hu5-B91t660qdVE-sB1RCO8x0_VjcX3WmP1Sce4_8wGYF7EAi/s1600/MOPH_logo.jpg" /></a></div>
<br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b><br /></b><br />
<b>หน้าที่และความรับผิดชอบ</b><br />
<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
บทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
1. ผู้ดูแลเด็ก หรือพี่เลี้ยงเด็ก</div>
<div style="text-align: justify;">
เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ในช่วงที่เด็กอยู่ศูนย์ และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กมากที่สุด ผู้ดูแลเด็กจึงควรรับรู้นโยบาย เข้าใจแนวทางการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่ และได้รับการ ฝึกอบรม เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ดูแลเด็กยังควรได้รับบริการส่งเสริมสุขภาพให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างด้านสุขภาพสำหรับเด็ก</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
2. ผู้บริหารศูนย์เด็กเล็ก หรือผู้ประกอบการศูนย์เด็กเล็ก </div>
<div style="text-align: justify;">
เป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการประสานงานกับบุคคล และหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุน หรือที่ต้องการขอรับการสนับสนุน และที่สำคัญต้องบริหารจัดการบุคลากร งบประมาณ สถานที่ที่มีอยู่ให้สามารถพัฒนาเป็นศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่ และได้มาตรฐาน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
3. ผู้ปกครองเด็ก </div>
<div style="text-align: justify;">
เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถร่วมดูแลช่วยการดำเนินงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ของศูนย์ โดยอาจเข้ามาเป็นกรรมการ วิทยากร หรืออาสาสมัครช่วยดูแลเด็ก ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองเข้าใจปัญหาและความต้องการของศูนย์เด็กเล็กจะได้ให้การสนับสนุนได้ ความสัมพันธ์และการสื่อสารที่ดีระหว่างบุคลากรของศูนย์เด็กเล็กกับผู้ปกครอง เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของการดำเนินงาน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
4. ชุมชนโดยรอบศูนย์เด็กเล็ก</div>
<div style="text-align: justify;">
นอกจากผู้ปกครองเด็กแล้ว ในชุมชนยังมีบุคคลที่แม้ไม่ได้มีลูกหลานอยู่ในศูนย์เด็กเล็ก แต่ก็มีศักยภาพที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กอีกมาก เช่น ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หลวงพ่อที่วัด เถ้าแก่ ร้านค้า หรือมูลนิธิ ชมรมต่าง ๆ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ในชุมชนสามารถช่วยสนับสนุนแรงความคิด แรงกาย และทุนทรัพย์ แก่ศูนย์เด็กเล็กได้ หากได้รับรู้และเข้าใจการดำเนินงานของศูนย์เด็กเล็ก</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
5. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น</div>
<div style="text-align: justify;">
ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง สามารถจัดสรรงบประมาณสนับสนุน บางแห่งมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านต่าง ๆ ที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้บริหารศูนย์เด็กเล็กได้ นอกจากนี้ ยังเป็นหน่วยงานที่สามารถเป็นแกนนำในการระดมความร่วมมือต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
6. องค์กรส่วนภูมิภาค</div>
<div style="text-align: justify;">
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากศูนย์อนามัยและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด มีบทบาทสำคัญในการไปช่วยกระตุ้นผู้เกี่ยวข้อง เช่น เทศบาล อบต. และผู้บริหารศูนย์เด็กเล็กให้เห็นความสำคัญ และสมัครเข้าร่วมโครงการ และเจ้าหน้าที่จากศูนย์อนามัยและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ยังมีศักยภาพในการให้ความรู้และความเข้าใจในแนวทางการดำเนินงานและวิธีการต่าง ๆ ตลอดจนให้คำแนะนำ ปรึกษา ด้านวิชาการ ติดตาม ประเมินผล และการประกันคุณภาพ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
7. องค์กรส่วนกลาง</div>
<div style="text-align: justify;">
ผู้รับผิดชอบในส่วนกลาง ทั้งจากสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม สำนักส่งเสริมสุขภาพ กองวิชาการต่าง ๆ ในกรมอนามัย ตลอดถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสุขภาพจิต กรมควบคุมโรค มีบทบาทหลักในการสนับสนุนด้านวิชาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางวิชาการ เกณฑ์มาตรฐาน และการประเมินผล ประสานนโยบายกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น</div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>หน่วยงานในสังกัด</b></div>
<br />
<br />
ตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ประกาศให้กระทรวงสาธารณสุข มีส่วนราชการดังต่อไปนี้<br />
<br />
<b>ส่วนราชการ</b><br />
<br />
<ul>
<li>สำนักงานรัฐมนตรี</li>
<li>สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข</li>
<li>กรมการแพทย์</li>
<li>กรมควบคุมโรค</li>
<li>กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก</li>
<li>กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์</li>
<li>กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ</li>
<li>กรมสุขภาพจิต</li>
<li>กรมอนามัย</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา</li>
</ul>
<br />
<b>องค์กรที่มิใช่ส่วนราชการ</b><br />
<br />
<ul>
<li>สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข</li>
<li>สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ</li>
<li>สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ</li>
</ul>
<br />
<b>รัฐวิสาหกิจ</b><br />
<br />
<ul>
<li>องค์การเภสัชกรรม</li>
</ul>
<br />
<b>องค์การมหาชน</b><br />
<br />
<ul>
<li>โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)</li>
<li>สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน)</li>
</ul>
<div>
อ้างอิง </div>
<div>
<a href="http://envh.anamai.moph.go.th/cbb/html/envh3.html">http://envh.anamai.moph.go.th/cbb/html/envh3.html</a>
</div>
<div>
<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)</a></div>
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/0oTvwR6a6Ao" width="420"></iframe>
<br />
<br />
คำปราศรัย เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข 27 พฤศจิกายน 2554 โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
<br />
<br />
อ้างอิง http://www.youtube.com/watch?v=0oTvwR6a6Aoพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-15903840953905625522012-04-06T03:29:00.001-07:002012-04-06T03:35:00.941-07:00กระทรวงศึกษาธิการ (ประเทศไทย)<br />
<b>กระทรวงศึกษาธิการ (ประเทศไทย)</b><br />
<b><br /></b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirCfWBQ307zhQm3I9XlY_8dFQyYQ39hKdDzUo34N9Dc1BD4w9GT3Izk1zN9hUkGoPoIdyn4-zCHUbawlMJxHm1UlMn38cPQXdhXIk2UmW_gA33CSr0RPwkE6uBgRLZMgK1Ds-65UKwiuWF/s1600/593px-Lanchakon_-_037.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirCfWBQ307zhQm3I9XlY_8dFQyYQ39hKdDzUo34N9Dc1BD4w9GT3Izk1zN9hUkGoPoIdyn4-zCHUbawlMJxHm1UlMn38cPQXdhXIk2UmW_gA33CSr0RPwkE6uBgRLZMgK1Ds-65UKwiuWF/s200/593px-Lanchakon_-_037.jpg" width="197" /></a></div>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRTWven-BrhY_YoroHg6i9jgkrdf5DId3VS7f00k7SkQ2uGlDCei1QZl4bEPhyphenhyphenJSt6-_qxOTW7wz99_VW8raa9dU-FfqxIQ8oPKzgSjIbe9iSAkODJJhaLXdpYiBc08cjRWcZOTlvXipss/s1600/594px-Lanchakon_-_035.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRTWven-BrhY_YoroHg6i9jgkrdf5DId3VS7f00k7SkQ2uGlDCei1QZl4bEPhyphenhyphenJSt6-_qxOTW7wz99_VW8raa9dU-FfqxIQ8oPKzgSjIbe9iSAkODJJhaLXdpYiBc08cjRWcZOTlvXipss/s200/594px-Lanchakon_-_035.jpg" style="cursor: move;" width="198" /></a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ตราพระเพลิงทรงระมาด (ตราเดิม) ตราเสมาธรรมจักร (ตราปัจจุบัน)<br />
<b><br /></b><br />
<b>สำนัก</b><br />
319 อาคารราชวัลลภ วังจันทรเกษม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร<br />
<b><br /></b><br />
<b>ภาพรวม</b><br />
<div>
<div>
วันก่อตั้ง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1 เมษายน พ.ศ. 2435</div>
<div>
เขตอำนาจ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ทั่วราชอาณาจักร</div>
<div>
งบประมาณ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 391,131.8 ล้านบาท (พ.ศ. 2554)[1]</div>
<div>
รัฐมนตรีว่าการ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5NqADYMCcd1iWH4V6jh2Y6BxREVmU7eev4bI6ifGquw-q-6I6QEMH4MX9QjtQQ461BT6CEkYIukSo6Tdkn-tpIGwVbLcn9CLOTcxUqjP7kHgWhtXOVvUe0mQFqQ_zCRRnOwOru282-SdX/s1600/176270.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5NqADYMCcd1iWH4V6jh2Y6BxREVmU7eev4bI6ifGquw-q-6I6QEMH4MX9QjtQQ461BT6CEkYIukSo6Tdkn-tpIGwVbLcn9CLOTcxUqjP7kHgWhtXOVvUe0mQFqQ_zCRRnOwOru282-SdX/s320/176270.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
<br /></div>
<div>
สุชาติ ธาดาธำรงเวช, รัฐมนตรี</div>
<div>
ศักดา คงเพชร, รัฐมนตรีช่วย</div>
<div>
ผู้บริหาร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์, ปลัด</div>
<div>
นิวัตร นาคะเวช, รองปลัด 1</div>
<div>
สมบัติ สุวรรณพิทักษ์, รองปลัด 2</div>
<div>
จุไรรัตน์ แสงบุญนำ, รองปลัด 3</div>
<div>
ลูกสังกัด<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ดูในบทความ</div>
</div>
<div>
<div>
เว็บไซต์ www.moe.go.th</div>
</div>
<div>
<br /></div>
<br />
กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานราชการไทยประเภทกระทรวง มีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคและโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมทางการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาวิชาชีพ ให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษา เน้นให้นิสิตนักศึกษามีโอกาสศึกษาต่อสูงขึ้นทั้งในท้องถิ่นและสถาบันเปิด เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้บริการแก่สังคม พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษให้ได้เรียนและแสดงออกในทางที่เหมาะสม<br />
<br />
<b>ประวัติ</b><br />
<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการก่อตั้ง "กระทรวงธรรมการ" ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลศาสนา การศึกษา การพยาบาล และพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 ซึ่งกระทรวงธรรมการมีการเปลี่ยนชื่อไปมาหลายครั้งระหว่างชื่อ "กระทรวงธรรมการ" และ "กระทรวงศึกษาธิการ" อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ก็ได้ใช้ชื่อว่า "กระทรวงศึกษาธิการ" ตั้งแต่นั้นมา โดยมีที่ทำการอยู่ที่ "วังจันทรเกษม" จนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
<b>หน่วยงานในสังกัด</b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li>สำนักงานรัฐมนตรี</li>
<li>สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ</li>
<li>สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน</li>
</ul>
<br />
หน่วยงานอื่นๆ<br />
<br />
<ul>
<li>สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</li>
<li>สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา</li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา</li>
<li>โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์</li>
<li>สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)</li>
<li>สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)</li>
</ul>
<div>
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)</a></div>
<br />
<br />
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/AIZppIo__b8" width="420"></iframe>
<br />
<br />
กระทรวงศึกษาธิการ จัดงาน "อนาคตการศึกษาไทย" (Future of Thai Education) ระหว่างวันที่ ๖-๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อแสดงความก้าวหน้าอนาคตทางการศึกษาของไทย
อ้างอิง http://www.youtube.com/watch?v=AIZppIo__b8พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-86693366160087189852012-04-06T02:56:00.000-07:002012-04-06T02:56:07.641-07:00เกี่ยวกับประเทศไทย<br />
<b>เกี่ยวกับประเทศไทย</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0K6xVrkJDpFxbkmYVgfjwvSS1_pyVH6Fjibp6R_wIgAruguwZDadyUWaFojMSb_jg3f7VqRXJtcN2vUV7ikRj6utGEuITQb2n5udfvfTAK1AYlMlsmAB6rDGfW6mkKKF4mgH7N9eo-Ji_/s1600/aboutthailand_photo1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0K6xVrkJDpFxbkmYVgfjwvSS1_pyVH6Fjibp6R_wIgAruguwZDadyUWaFojMSb_jg3f7VqRXJtcN2vUV7ikRj6utGEuITQb2n5udfvfTAK1AYlMlsmAB6rDGfW6mkKKF4mgH7N9eo-Ji_/s1600/aboutthailand_photo1.jpg" /></a></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยเปรียบเสมือนประตูสู่ใจกลางแห่งเอเชีย เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทย ส่งผลให้การทำการค้ากับประเทศจีน อินเดีย และประเทศต่างๆในแถบอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
เศรษฐกิจไทยนั้นเป็นแบบการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งมูลค่าการส่งออกคิดเป็น 60% ของ GDP หรือประมาณสองแสนแปดหมื่นหกพันล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2552) โดยการส่งออกของประเทศไทยต่อปีคิดเป็นมูลค่า หนึ่งแสนห้าหมื่นสองพันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรมรวมถึง ปลา ข้าว สำหรับข้าวนั้นประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกรายที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังรวมถึง สิ่งทอ ยางพารา รถยนต์เครื่องประดับ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgH-jgV9E6gt0lyRbmklmrA-jLiZio84dmzEK8ZpoqC6w8SxrRgkI3hAn-ldLgrTymvEsGj7hef9VwUiP6N9_sDyEc_YJKzoInEQrm79eWLLtZ2qz8zWx6UBN0pVOZKo1GntpcAEdmBBLRj/s1600/aboutthailand_photo2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgH-jgV9E6gt0lyRbmklmrA-jLiZio84dmzEK8ZpoqC6w8SxrRgkI3hAn-ldLgrTymvEsGj7hef9VwUiP6N9_sDyEc_YJKzoInEQrm79eWLLtZ2qz8zWx6UBN0pVOZKo1GntpcAEdmBBLRj/s1600/aboutthailand_photo2.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
จำนวนประชากรในประเทศมีทั้งสิ้นประมาณหกสิบเจ็ดล้านคน โดยอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยประมาณ เจ็ดล้านคน นอกจากประเทศไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์หลายอย่าง รวมถึงมีกำลังแรงงานที่มีทักษะ และ มีประสิทธิผลต่อค่าใช้จ่าย รัฐบาลไทยยังได้ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านทักษะเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อประชาชน ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับจากธนาคารโลกในปี 2553 ในรายงานเรื่อง “ความสะดวกในการทำธุรกิจ” โดยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในสำหรับความเป็นประเทศที่สามารถทำธุรกิจได้ง่ายที่สุด</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยยังถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “สยามเมืองยิ้ม” ความเป็นมิตรของชาวไทยจะทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกเสมือนอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดของคุณ ด้วยความเป็นมิตรของชาวไทยและความอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ประเทศไทยที่ให้การต้อนรับด้วยความอบอุ่นและมิตรภาพ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://utcc-event.utcc.ac.th/latinforum/th_aboutthailand.html">http://utcc-event.utcc.ac.th/latinforum/th_aboutthailand.html</a></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-23198091400561773292012-04-06T02:43:00.001-07:002012-04-06T02:43:21.556-07:00วัฒนธรรม<br />
<b>วัฒนธรรม</b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
วัฒนธรรมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอมและดินแดนบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอย่างมาก พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์และศรัทธาของไทยสมัยใหม่ ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยได้มีการพัฒนาตามกาลเวลา ซึ่งรวมไปถึงการรวมเอาความเชื่อท้องถิ่นที่มาจากศาสนาฮินดู การถือผี และการบูชาบรรพบุรุษ[ต้องการอ้างอิง] ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามามีส่วนสำคัญอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง ซึ่งการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มชาวจีนได้มีตำแหน่งในอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง[ต้องการอ้างอิง]</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
วัฒนธรรมไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมเอเชีย กล่าวคือ มีการให้ความเคารพแก่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ชาวไทยมักจะมีความเป็นเจ้าบ้านและความกรุณาอย่างดี แต่ก็มีความรู้สึกในการแบ่งชนชั้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ความอาวุโสเป็นแนวคิดที่สำคัญในวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสจะต้องปกครองดูแลครอบครัวของตนตามธรรมเนียม และน้องจะต้องเชื่อฟังพี่</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
การทักทายตามประเพณีของไทย คือ การไหว้ ผู้น้อยมักจะเป็นผู้ทักทายก่อนเมื่อพบกัน และผู้ที่อาวุโสกว่าก็จะทักทายตอบในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน สถานะและตำแหน่งทางสังคมก็มีส่วนต่อการตัดสินว่าผู้ใดควรจะไหว้อีกผู้หนึ่งก่อนเช่นกัน การไหว้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในการให้ความเคารพและความนับถือแก่อีกผู้หนึ่ง</div>
<br />
<b>ศิลปะ</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhON7hEamXNEcNwSEqwjC9zjTNeDAUtrO415E_6hzuhaMvyQ-86FVYy50q1HURFNrL2Zm5dgUalOGZPj56jk2cGL6T5dP9A9EQxUjmOKj3glcj3yqir0k8yxF2Skv-_81ECefTMguCefGEV/s1600/800px-Bang_Pa-In_floating_pavilion.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhON7hEamXNEcNwSEqwjC9zjTNeDAUtrO415E_6hzuhaMvyQ-86FVYy50q1HURFNrL2Zm5dgUalOGZPj56jk2cGL6T5dP9A9EQxUjmOKj3glcj3yqir0k8yxF2Skv-_81ECefTMguCefGEV/s320/800px-Bang_Pa-In_floating_pavilion.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
จิตรกรรมไทยเป็นลักษณะอุดมคติ เป็นภาพ 2 มิติ โดยนำสิ่งใกล้ไว้ตอนล่างของภาพ สิ่งไกลไว้ตอนบนของภาพ ใช้สีแบบเอกรงค์ คือ ใช้หลายสี แต่มีสีที่โดดเด่นเพียงสีเดียว</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ประติมากรรมไทยเดิมนั้นช่างไทยทำงานประติมากรรมเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป โดยมีสกุลช่างต่างๆ นับตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกว่า สกุลช่างเชียงแสน สกุลช่างสุโขทัย อยุธยา และกระทั่งรัตนโกสินทร์ โดยใช้ทองสำริดเป็นวัสดุหลักในงานประติมากรรม เนื่องจากสามารถแกะแบบด้วยขี้ผึ้งและตกแต่งได้ แล้วจึงนำไปหล่อโลหะ เมื่อเทียบกับประติมากรรมศิลาในยุคก่อนนั้น งานสำริดนับว่าอ่อนช้อยงดงามกว่ามาก</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
สถาปัตยกรรมไทยมีปรากฏให้เห็นในชั้นหลัง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ชำรุดทรุดโทรมได้ง่าย โดยเฉพาะงานไม้ ไม่ปรากฏร่องรอยสมัยโบราณเลย สถาปัตยกรรมไทยมีให้เห็นอยู่ในรูปของบ้านเรือนไทย โบสถ์ วัด และปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้สอยจริง</div>
<br />
<b>อาหารไทย</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQcfP2RSNJ89Mn-um62-iZktXZcoaEo3ivOrib-1_LPfqj_p2ty8W_j239NCTz73QJ8dulAX8tcKBRb3w_3Jrd_vWUetbnhm5Lju4mz7XfWLyGxrYzgia0lvhfONn5XqSXysfYo-TwhvGC/s1600/800px-Thai_Village_-_Dinner.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQcfP2RSNJ89Mn-um62-iZktXZcoaEo3ivOrib-1_LPfqj_p2ty8W_j239NCTz73QJ8dulAX8tcKBRb3w_3Jrd_vWUetbnhm5Lju4mz7XfWLyGxrYzgia0lvhfONn5XqSXysfYo-TwhvGC/s320/800px-Thai_Village_-_Dinner.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
แกงมัสมั่น<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
อาหารไทยเป็นการผสมผสานรสชาติความหวาน ความเผ็ด ความเปรี้ยว ความขมและความเค็ม ส่วนประกอบซึ่งมักจะใช้ในการปรุงอาหารไทย รวมไปถึง กระเทียม พริก น้ำมะนาว และน้ำปลา และวัตถุดิบสำคัญของอาหารในประเทศไทย คือ ข้าว โดยมีข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือเป็นพื้น มีคุณลักษณะพิเศษ คือ ให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน และให้สรรพคุณทางยาและสมุนไพร ตามสถิติพบว่า ชาวไทยรับประทานข้าวขาวมากกว่า 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด ส่วนอาหารที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นคือ ต้มยำกุ้ง เมื่อ พ.ศ. 2554 เว็บไซต์ CNNGO ได้จัดอันดับ 50 เมนูอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกโดยการลงคะแนนเสียงทางเฟซบุ๊ก ปรากฏว่า แกงมัสมั่นได้รับเลือกให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
วัฒนธรรมสมัยนิยมได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของคนไทย โดยหันมาบริโภคอาหารจานด่วนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคจากภาวะโภชนาการเกิน แต่กลับไม่สามารถขจัดโรคขาดสารอาหารได้</div>
<br />
<b>ภาพยนตร์ไทย</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRitzgR5O6PI11PlbvZxNB7QO3oWDkmiMrBlAMWFt-vwmfCsPd7i0rWzE1PApzfzGZ2PTGPEk-X1pS0tNU9KJeRJE0bXZ34LW5Q2XJE3tkIt6gYX5ZHA1mCz5zfE4sxBHVS3e3xT2cVyiV/s1600/Jamrasandmanee.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRitzgR5O6PI11PlbvZxNB7QO3oWDkmiMrBlAMWFt-vwmfCsPd7i0rWzE1PApzfzGZ2PTGPEk-X1pS0tNU9KJeRJE0bXZ34LW5Q2XJE3tkIt6gYX5ZHA1mCz5zfE4sxBHVS3e3xT2cVyiV/s1600/Jamrasandmanee.jpg" /></a></div>
<br />
จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ ดาราคู่แรกของไทย<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในเมืองไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย พ.ศ. 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ในช่วงหลัง พ.ศ. 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นประเทศไทยเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นช่วงซบเซาของภาพยนตร์ไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมา ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมือง และสังคม ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2516-2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2530-2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ปัจจุบันประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสในสหรัฐอเมริกา และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์ ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ </div>
<br />
<b>ดนตรีไทย</b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
ดนตรีในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลมาจากประเทศต่างๆ ดนตรีไทยเป็นดนตรีที่มีความไพเราะน่าฟัง มี 4 ประเภท ได้แก่ ดีด สี ตี เป่า ในอดีตดนตรีไทยนิยมเล่นในการขับลำนำและร้องเล่น ต่อมามีการนำเอาเครื่องดนตรีจากต่างประเทศเข้ามาผสม ดนตรีไทยนิยมเล่นกันเป็นวง เช่น วงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย วงมโหรี ดนตรีไทยเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยใช้ประกอบงานมงคล งานอวมงคล ฯลฯ ในปัจจุบัน ดนตรีไทยไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันแพร่หลายนักเนื่องจากหาดูได้ยาก คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยรู้จักดนตรีไทยสักเท่าไรนัก</div>
<br />
<br />
<br />
<b>นาฏศิลป์ไทย</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfGII6-w7yaOstDGSIxH4P_f9N6U5WJ3oNstrP-nHl9HwEV7p8JHlkm4s2lzqhpELQ7Y3zDrZQunPf-YkuOr3MDZtNIDOFL7kiqdbjcMlmNVTcLanwcBseOSM_cZDCB5fp_6BJf08gQdrc/s1600/400px-Dancing_art_Thai_ancient_show_in_the_Wat_Phra_Thaen_Sila_At_fair_06.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfGII6-w7yaOstDGSIxH4P_f9N6U5WJ3oNstrP-nHl9HwEV7p8JHlkm4s2lzqhpELQ7Y3zDrZQunPf-YkuOr3MDZtNIDOFL7kiqdbjcMlmNVTcLanwcBseOSM_cZDCB5fp_6BJf08gQdrc/s320/400px-Dancing_art_Thai_ancient_show_in_the_Wat_Phra_Thaen_Sila_At_fair_06.jpg" width="213" /></a></div>
<br />
การแสดงนาฏศิลป์ไทยที่มีลักษณะงดงาม อ่อนช้อย<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
นาฏศิลป์ไทยเป็นศิลปะการแสดงประกอบดนตรีเช่น ฟ้อน รำ ระบำ โขน แต่ละท้องถิ่นจะมีชื่อเรียกและมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป</div>
<br />
<b>เทศกาลประเพณี</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhodxxmjLJ-ANtnELZDO8Iqvrb6FjUwK6ssQNbQAPRgPcrRhv6retRXlickKYA5zMz2WYLiVCcjeXlCrz6oP8oU9oj4_V_F_10_cSlztpRJU6IIN-hLrS4KrZFkU_Tq-Dejbzeknq6ZBrvT/s1600/390px-Chiang_Mai,_Yi_Peng_Festival_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhodxxmjLJ-ANtnELZDO8Iqvrb6FjUwK6ssQNbQAPRgPcrRhv6retRXlickKYA5zMz2WYLiVCcjeXlCrz6oP8oU9oj4_V_F_10_cSlztpRJU6IIN-hLrS4KrZFkU_Tq-Dejbzeknq6ZBrvT/s320/390px-Chiang_Mai,_Yi_Peng_Festival_1.jpg" width="208" /></a></div>
<b><br /></b><br />
การปล่อยโคมลอยในงานประเพณียี่เป็ง<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
เทศกาลประเพณีในประเทศไทยนั้นมีความหลากหลายและอลังการแต่ก็มีบ้างพื้นที่ที่เทศกาลประเพณีในประเทศไทยนั้นรับอิทธิพลมาจากประเทศอื่น เช่น เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ เทศกาลวันตรุษจีน เทศกาลวันสงกรานต์ เทศกาลวันคริสต์มาส ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีตักบาตรดอกไม้ ประเพณีลอยกระทง ประเพณียี่เป็ง ฯลฯ</div>
<br />
<b>วันสำคัญ</b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
วันสำคัญในประเทศไทยมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่มิใช่วันหยุดราชการ และตั้งขึ้นเนื่องในเหตุการณ์สำคัญ วันสำคัญอาจจะมาจากวัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้าน อนึ่ง ปัจจุบัน วันเฉลิมฉลองของชาติไทย คือ วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี</div>
<br />
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a><br />พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-54072501763648396382012-04-06T02:25:00.001-07:002012-04-06T02:25:19.679-07:00ประชากร<br />
<b>ประชากร</b><br />
<br />
สถิติจำนวนประชากรไทย ตามสำมะโนประชากร พ.ศ. 2453 – 2553<br />
ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ<br />
ครั้ง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ปีที่สำรวจ<br />
(พ.ศ./ค.ศ.)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>จำนวน (คน)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>อัตราเพิ่ม<br />
1<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2453 (1910)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>8,131,247<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-<br />
2<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2462 (1919)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>9,207,355<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 13.2<br />
3<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2472 (1929)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>11,506,207<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 25.0<br />
4<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2480 (1937)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>14,464,105<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 25.7<br />
5<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2490 (1947)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>17,442,689<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 20.6<br />
6<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2503 (1960)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>26,257,916<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 50.5<br />
7<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2513 (1970)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>34,397,371<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 31.0<br />
8<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2523 (1980)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>44,824,540<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 30.3<br />
9<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2533 (1990)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>54,548,530<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 21.7<br />
10<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2543 (2000)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>60,916,441<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 11.7<br />
11<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2553 (2010)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>65,926,261<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>+ 8.2<br />
<br />
<b>ชนชาติ</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDAio9a6Xd9yGUhELmii4mVKuPzeXh3-aAnFaj3TCqdLKssm6KUHx2qE1aFNLvUQciWOye-27FlCHE_VD_9fM4rMmEgAgWRmV4FcfCepxObWrqYYC5QkgMQNJ_R30pwdsew9FKCn7eE53v/s1600/341px-Thailand_ethnic_map.svg.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDAio9a6Xd9yGUhELmii4mVKuPzeXh3-aAnFaj3TCqdLKssm6KUHx2qE1aFNLvUQciWOye-27FlCHE_VD_9fM4rMmEgAgWRmV4FcfCepxObWrqYYC5QkgMQNJ_R30pwdsew9FKCn7eE53v/s400/341px-Thailand_ethnic_map.svg.png" width="225" /></a></div>
<br />
แผนที่ชาติพันธุ์ในไทย<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
สถิติจำนวนประชากรไทยนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ทั้งนี้ตามการประมาณของ CIA The World Factbook เมื่อปี พ.ศ. 2553 ประชากรทั้งหมดของประเทศไทยมีประมาณ 66,404,688 คน ประกอบด้วยไทยสยามประมาณร้อยละ 75 ไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 14 ไทยเชื้อสายมลายูร้อยละ 3ประเทศไทยประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน โดยที่ในปี พ.ศ. 2551 อัตราการเกิดของประชากรอยู่ที่ 1.5% และมีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือเพียง 1.45% ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตราการคุมกำเนิดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคิดเป็น 81% ในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเมื่อประกอบกับอัตราการตายที่ลดลงในศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยจะมีประชากรสูงวัยมากขึ้นในอนาคต</div>
<br />
ในประเทศไทยถือได้ว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยมีทั้ง ชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายลาว ชาวไทยเชื้อสายมอญ ชาวไทยเชื้อสายเขมร รวมไปถึงกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวชวา (แขกแพ) ชาวจาม (แขกจาม) ชาวเวียด ชาวพม่า และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ลีซอ ชาวม้ง ส่วย เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2553 ตามข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายอยู่ 1.4 ล้านคน โดยมีอีกเท่าตัวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ตามข้อมูลการอพยพระหว่างประเทศของสหประชาชาติ ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีผู้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่จำนวน 1.05 ล้านคน คิดเป็น 1.6% ของจำนวนประชากร<br />
<br />
ประเทศไทยมีการแบ่งแยกเชื้อชาติและชาติพันธุ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านมาก โดยสนับสนุนความเป็นอิสระในแต่ละเชื้อชาติ ได้มีนักวิชาการตะวันตกเขียนเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็น "สังคมที่มีโครงสร้างอย่างหลวม ๆ"<br />
<br />
<b>ศาสนา</b><br />
<br />
<br />
<table style="border-collapse: collapse; color: black; font-family: sans-serif; font-size: 11px; line-height: 19px; width: 220px;"><tbody>
<tr style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: #dddddd; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial;"><th colspan="5">จำนวนผู้นับถือศาสนาในประเทศไทย</th></tr>
<tr style="font-size: 10px; height: 4px;"><td style="padding-bottom: 0px; padding-left: 4px; padding-right: 4px; padding-top: 0px;">ศาสนา</td><td style="padding-bottom: 0px; padding-left: 4px; padding-right: 4px; padding-top: 0px; text-align: right;"></td><td style="width: 100px;"></td><td style="padding-bottom: 0px; padding-left: 4px; padding-right: 4px; padding-top: 0px; text-align: right; width: 5em;">%</td><td style="padding-bottom: 0px; padding-left: 4px; padding-right: 4px; padding-top: 0px; text-align: right;"></td></tr>
<tr><td colspan="2" style="min-width: 8em; padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">พุทธ</td><td style="border-left-color: silver; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: silver; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; width: 100px;"><div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: yellow; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; overflow-x: hidden; overflow-y: hidden; width: 58px;">
</div>
</td><td align="right" colspan="2" style="padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">93.4%</td></tr>
<tr><td colspan="2" style="min-width: 8em; padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">อิสลาม</td><td style="border-left-color: silver; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: silver; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; width: 100px;"><div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: green; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; overflow-x: hidden; overflow-y: hidden; width: 3px;">
</div>
</td><td align="right" colspan="2" style="padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">5.2%</td></tr>
<tr><td colspan="2" style="min-width: 8em; padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">อื่น ๆ</td><td style="border-left-color: silver; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: silver; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; width: 100px;"><div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: pink; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; overflow-x: hidden; overflow-y: hidden; width: 0px;">
</div>
</td><td align="right" colspan="2" style="padding-left: 0.4em; padding-right: 0.4em;">1.4%</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ตามสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ประชากรไทยนับถือศาสนาพุทธ ประมาณร้อยละ 93.4 ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยโดยพฤตินัย แม้ว่าจะยังไม่มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใดเลยก็ตาม ทั้งนี้ ประเทศไทยถือได้ว่ามีผู้นับถือศาสนาพุทธมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก<br />
<br />
รองลงมา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 5.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ตอนล่าง ประชาชนในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส บางพื้นที่ของสงขลาและชุมพรนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่นอีก เช่น คริสต์ ซิกข์และฮินดู รวมประมาณร้อยละ 1.4 สำหรับประชาคมชาวยิวนั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17<br />
<br />
<b>ภาษา</b><br />
<br />
ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาทางการ และเป็นภาษาหลักที่ใช้ติดต่อสื่อสาร การศึกษาและเป็นภาษาพูดที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยใช้อักษรไทยเป็นรูปแบบมาตรฐานในการเขียน ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยสุโขทัยโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ภาษาไทยสำเนียงอื่นยังมีการใช้งานในแต่ละภูมิภาคเช่น ภาษาไทยถิ่นเหนือในภาคเหนือ ภาษาไทยถิ่นใต้ในภาคใต้ และภาษาไทยถิ่นอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
<br />
นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้งานภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น<br />
<br />
ภาษาอังกฤษและอักษรอังกฤษมีสอนในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่จำนวนผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องในประเทศไทยยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ และส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองและในครอบครัวที่มีการศึกษาดีเท่านั้น ซึ่งในด้านความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น จากที่ประเทศไทยเคยอยู่ในระดับแนวหน้าในปี พ.ศ. 2540 แต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2549 ไทยกลับล้าหลังประเทศลาวและประเทศเวียดนาม<br />
<br />
<b>การศึกษา</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioM2EQbSrpBdq2EiWCHLxEWBs8Whz3XeWQ0JcZgo3bzsIFI9Sxtk-R6vhRAb2jhmRQg-RvNk9xyZ9DerT1j75BW4RywH_rx_SRm6eWiskWfTWyTzBk9yxsiq4DaEtBEjUw7foWwEDxc5Gy/s1600/Main_auditorium_of_Chulalongkorn_University_IMG_0338.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioM2EQbSrpBdq2EiWCHLxEWBs8Whz3XeWQ0JcZgo3bzsIFI9Sxtk-R6vhRAb2jhmRQg-RvNk9xyZ9DerT1j75BW4RywH_rx_SRm6eWiskWfTWyTzBk9yxsiq4DaEtBEjUw7foWwEDxc5Gy/s320/Main_auditorium_of_Chulalongkorn_University_IMG_0338.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย สถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2459<br />
<br />
การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2464 ตามกฎหมายไทย รัฐบาลจะต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับในปัจจุบันกำหนดไว้ 9 ปี ระบบโรงเรียนที่ถูกจัดไว้มีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้นตามลำดับ แต่หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว บุคคลสามารถเลือกได้ระหว่างศึกษาต่อสายสามัญในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเลือกศึกษาสายวิชาชีพ หรืออาจเลือกศึกษาต่อในสถาบันทางทหารหรือตำรวจ<br />
<br />
ในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องผ่านระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งโดยปกติจะเสร็จสิ้นในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งติดอยู่ในอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียจาก QS Asian University Rankings 2011<br />
<br />
แต่กระนั้น ก็ยังมีการเป็นห่วงในประเด็นทางด้านระดับเชาวน์ปัญญาของเยาวชนชาวไทย ซึ่งจากการศึกษาของหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่นได้รายงานว่า "กรมอนามัยและกรมสุขภาพจิตจะต้องรับมือกับความฉลาดที่ต่ำลง หลังจากได้พบว่าระดับเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยในกลุ่มเยาวชนต่ำกว่า 80" วัชระ พรรณเชษฐ์ได้รายงานในปี พ.ศ. 2549 ว่า "ค่าเฉลี่ยของระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กไทยอยู่ระหว่าง 87-88 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' จากการจัดระดับในระดับสากล" ปัญหาในการศึกษาไทย พบว่าการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนยังจำกัดอยู่มาก<br />
<br />
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a><br />พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-477576473543185462012-04-06T02:13:00.005-07:002012-04-06T02:25:46.801-07:00ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร<br />
<b>ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfcq_cE0y3WZmBANQldKtSFnxeU8w7oKsL51VzHvYETYcflm68DgZOPGCieiODNVZSnsWQP4iXxJgIbOLHSP_kBfkH8yBDV-6II8vJzOV_2SBIgS07n6g585LbYPbJ64UWOCCsyPDxT3lv/s1600/Yingluck_in_brunei.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfcq_cE0y3WZmBANQldKtSFnxeU8w7oKsL51VzHvYETYcflm68DgZOPGCieiODNVZSnsWQP4iXxJgIbOLHSP_kBfkH8yBDV-6II8vJzOV_2SBIgS07n6g585LbYPbJ64UWOCCsyPDxT3lv/s320/Yingluck_in_brunei.jpg" width="320" /></a></div>
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา และยังได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมือง และด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความร่วมมือกับองค์การท้องถิ่น อาทิ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเคยส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก, อัฟกานิสถาน, อิรัก, บุรุนดี และปัจจุบัน ในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างตกต่ำ</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHV7mAYSqED1kuhhW87qr2mfdkmoR-y0BbZ9qtXFbztuUqxATYKggIkntJ7_CjJLVB4Fbu5fc4HkPpU9qZ94Fz1LsLcS45pAksCqI4DmjYP0dydFvPbxRJdN-GzrSTSFiZrgMy8ggpB_70/s1600/800px-Chakri_Naruebet_2001.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHV7mAYSqED1kuhhW87qr2mfdkmoR-y0BbZ9qtXFbztuUqxATYKggIkntJ7_CjJLVB4Fbu5fc4HkPpU9qZ94Fz1LsLcS45pAksCqI4DmjYP0dydFvPbxRJdN-GzrSTSFiZrgMy8ggpB_70/s320/800px-Chakri_Naruebet_2001.JPEG" width="320" /></a></div>
<br />
เรือหลวงจักรีนฤเบศร<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
กองทัพไทยแบ่งออกเป็นสามเหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก, ราชนาวี และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้นราว 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย พระมหากษัตริย์ไทยดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยพฤตินัย ซึ่งปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย มีผู้บัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้สั่งการ เมื่อปี พ.ศ. 2553 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 154,032,478,600 บาท</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร กองทัพจะเรียกเกณฑ์ชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี โดยอาศัยความตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยจะถูกเรียกมาตรวจเลือกหรือรับเข้ากองประจำการ</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ระยะเวลาทำการฝึกอยู่ระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา การศึกษาวิชาทหาร และการสมัครเข้าเป็นทหาร โดยถ้าผู้รับการตรวจเลือกสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หากจับได้สลากแดง (ใบแดง) จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม หรือหากสมัครโดยไม่จับสลาก จะรับราชการเพียง 6 เดือน เป็นต้น ผู้ที่จับได้สลากดำ (ใบดำ) ไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ถ้านักศึกษาวิชาทหารสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 1 จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม ถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 2 จะต้องรับราชการ 6 เดือน และถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 3-5 ไม่ต้องบรรจุในกองประจำการ แต่สามารถเรียกพลได้ ในฐานะทหารกองหนุนประเภท 1</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-20632626758519152922012-04-05T00:54:00.002-07:002012-04-05T01:16:22.167-07:00เศรษฐกิจ<br />
<b>เศรษฐกิจ</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidCj4nAXda6Wl929og5uILY8u0LmCyRwWk86NZ9WntHJVwhvPYEsfQdLLCLkQ0IEFXDmp1PeeVxaf3REjQeVW2UCO56wBvsRjxYD7B0G9a3-Sl-o1jkbvJrubiUO_LXnecGH1Rqq2i0BDE/s1600/800px-Bangkok_nighttime.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidCj4nAXda6Wl929og5uILY8u0LmCyRwWk86NZ9WntHJVwhvPYEsfQdLLCLkQ0IEFXDmp1PeeVxaf3REjQeVW2UCO56wBvsRjxYD7B0G9a3-Sl-o1jkbvJrubiUO_LXnecGH1Rqq2i0BDE/s320/800px-Bangkok_nighttime.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม มีรายได้หลักจากอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้าและบริการ การท่องเที่ยว การบริการ เกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ตลาดนำเข้าสินค้าไทยที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และอินโดนีเซีย ข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ประเทศไทยส่งออกสินค้ากว่า 406,990 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร 141,401 ล้านบาท อาหาร 52,332 ล้านบาท สินค้าอุคสาหกรรม 45,959 ล้านบาท และมีมูลค่าการนำเข้าราว 285,965 ล้านบาท โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร 113,421 ล้านบาท น้ำมันและเชื้อเพลิง 50,824 ล้านบาท และเคมีภัณฑ์ 46,376 ล้านบาท มีมูลค่าการค้าสุทธิ 121,025 ล้านบาท</div>
<div style="text-align: justify;">
ตัวชี้วัดทางเศรษฐฏิจ</div>
<div style="text-align: justify;">
อัตราการว่างงาน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1.5% (2553 ประมาณ)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
การเติบโตของจีดีพี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-2.8% (2552 ประมาณ)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
ภาวะเงินเฟ้อ CPI<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-0.9% (2553)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
หนี้สาธารณะ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4.27 ล้านล้านบาท (พ.ค. 2554)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
ความยากจน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>9.6% (2549 ประมาณ)<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFVnoInhHG2knWyc8rgTO5NjceMlPtrF8rI2OylYCvJK6wy6zLbxpwxV_-C42JQZZrx-4PEhpINquIQCQrizvW7IhUDd4HZ0KFSSezrUgFeN33ox0gQuWwp2YS7qTqv3rbxeC0HpMP57ck/s1600/800px-Rice_fields_Chiang_Mai.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="228" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFVnoInhHG2knWyc8rgTO5NjceMlPtrF8rI2OylYCvJK6wy6zLbxpwxV_-C42JQZZrx-4PEhpINquIQCQrizvW7IhUDd4HZ0KFSSezrUgFeN33ox0gQuWwp2YS7qTqv3rbxeC0HpMP57ck/s320/800px-Rice_fields_Chiang_Mai.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
อย่างไรก็ตาม แรงงานส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยมีข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญที่สุดของประเทศ และถือได้ว่าเป็นประเทศซึ่งส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 36 ของโลก ประเทศไทยมีพื้นที่ซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกกว่า 27.25% ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้สำหรับการปลูกข้าว ส่วนพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ได้แก่ ยางพารา ผักและผลไม้ต่าง ๆ รวมไปถึงมีการเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น วัว สุกร เป็ด ไก่ สัตว์น้ำทั้งปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็มในกระชัง การทำนากุ้ง การเลี้ยงหอย รวมไปถึงการประมงทางทะเล เนื่องจากประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้านพืชพรรณธัญญาหารตลอดปี จึงได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกเป็นอันดับที่ 5</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของโลก เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกระหว่างปี พ.ศ. 2528-2539 (คิดเป็น 9.4% ต่อปีโดยเฉลี่ย) อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างเป็นอันตราย ในปี พ.ศ. 2540 อันเป็นปีที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย เศรษฐกิจไทยหดตัวลง 1.9% นายกรัฐมนตรีชวลิต ยงใจยุทธได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอยู่ที่ 56 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ก่อนที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปี พ.ศ. 2542 หลังจากนั้น ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวกว่า 5-7% ต่อปี และ 4-5% ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2550 วิกฤตการณ์การเมืองภายในประเทศได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลกและความขาดเสถียรภาพทางการเมืองจะยังคงเป็นอุปสรรคขัดขวางเศรษฐกิจไทยต่อไป</div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhg6-5Qey8AIYq9DIB5_3c0MkuhzMJdJ7dcz9TziSlB310LuzomvMBAxX1OYwZkj7MZEXDXfqgis4-k1S0wTYLOkjnUvYEdar445h_boRArDVL5jPxjNGG0qBmPknuihNscY1iMN45AU634/s1600/800px-King_Mongkut_Solar_Eclipse_Expedition.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="222" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhg6-5Qey8AIYq9DIB5_3c0MkuhzMJdJ7dcz9TziSlB310LuzomvMBAxX1OYwZkj7MZEXDXfqgis4-k1S0wTYLOkjnUvYEdar445h_boRArDVL5jPxjNGG0qBmPknuihNscY1iMN45AU634/s320/800px-King_Mongkut_Solar_Eclipse_Expedition.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายภาพแขกต่างประเทศ ณ ค่ายหลวงหว้ากอ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ได้มีการบรรจุแผนการใช้และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) เป็นต้นมา แต่ในขณะนั้นยังพบว่ามีอุปสรรคด้านสมรรถภาพของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) จึงได้จัดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็น 1 ใน 10 ของแผน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการแปรรูปสินค้า[74]</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับพระสมัญญานามว่า "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จากการที่ได้ทรงคำนวณสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 อย่างแม่นยำ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ[75]</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทยมากขึ้นในเรื่องการแพทย์ การคมนาคม การศึกษา การสื่อสารทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว[76]</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การคมนาคม</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG9oCMtH2Ikvhde2r8szer2ofzjJTbiM8GoD62Q7NjtUDEFF1sqOzWybTQoLIBHotRK-X8_Mx2bOegbjdG999z2qbVFr9Quft3IzfCtTFvC6Dbx-ONGJe4d7Ub8A2PvMdoIrJZ21InNuWv/s1600/800px-Tuk_tuk_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG9oCMtH2Ikvhde2r8szer2ofzjJTbiM8GoD62Q7NjtUDEFF1sqOzWybTQoLIBHotRK-X8_Mx2bOegbjdG999z2qbVFr9Quft3IzfCtTFvC6Dbx-ONGJe4d7Ub8A2PvMdoIrJZ21InNuWv/s320/800px-Tuk_tuk_1.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
รถตุ๊กตุ๊ก รูปแบบการคมนาคมที่พบเห็นได้ทั่วไป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
การคมนาคมส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะใช้การขนส่งทางบกเป็นหลัก คือ อาศัยรถยนต์และจักรยานยนต์ ทางหลวงสายหลักในประเทศไทย ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ ถนนสุขุมวิท และถนนเพชรเกษม นอกจากนี้ระบบขนส่งมวลชนจะมีการบริการตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ ได้แก่ระบบรถเมล์ และรถไฟ รวมถึงระบบที่เริ่มมีการใช้งานรถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน และในหลายพื้นที่จะมีการบริการรถสองแถว รวมถึงรถรับจ้างต่าง ๆ ได้แก่ แท็กซี่ เมลเครื่อง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และรถตุ๊กตุ๊ก ในอดีตประเทศไทยเคยมีการคมนาคมโดยใช้รถรางที่มีลักษณะคล้ายรถไฟ</div>
<div style="text-align: justify;">
สำหรับการคมนาคมทางอากาศนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้เปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549[77] เพื่อใช้แทนที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ส่วนการคมนาคมทางน้ำ โดยอาศัยเรือเป็นหลัก ประเทศไทยมีท่าเรือหลัก ๆ คือ ท่าเรือกรุงเทพ คลองเตย และท่าเรือแหลมฉบัง</div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การสื่อสาร</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglXKDO-F3vJ8rorzO0zUIKc4baRoWPGB5XO53t86fr-Id9zvD9AMY2RFlZo3qMz6qmLM4UE7Jf6wvg3xzsxKEuuKwcFaowTx_Ll3pkzJFvVCeau9Ksaj6b4c24DCJYXT3HibFx-HHb1lYa/s1600/544px-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglXKDO-F3vJ8rorzO0zUIKc4baRoWPGB5XO53t86fr-Id9zvD9AMY2RFlZo3qMz6qmLM4UE7Jf6wvg3xzsxKEuuKwcFaowTx_Ll3pkzJFvVCeau9Ksaj6b4c24DCJYXT3HibFx-HHb1lYa/s320/544px-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg" width="290" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
ภาพการส่งจดหมายโดยบุรุษไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ 5</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
การสื่อสารในประเทศไทยเดิมใช้จดหมาย โดยไปรษณีย์ไทยเป็นผู้รับส่งจดหมาย แต่การเขียนจดหมายที่ล่าช้าจึงได้มีการนำโทรเลขมาใช้ในประเทศไทย โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขและเลิกใช้ไปแล้วในปัจจุบัน โดยมีโทรศัพท์และโทรสารเป็นเครื่องสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วที่สุดและราคาประหยัด อย่างไรก็ตามยังมีอินเทอร์เน็ตใช้เป็นเครื่องสื่อสารอยู่กันไม่น้อย</div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การท่องเที่ยว</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgQ-xS4G9oSnYptANzX4gDIs1E4WAlktiDy_Fp0QwMULAWpAeWgnoMAf9JGHgQ74EkJMp9O3TgLt7x-uY1F-Objs8wiuuY3Z9Sm6ANhhcRZKY1Dv1yAOkDRC8BcA0Z9qtOm_E2Vtdv_tv5/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgQ-xS4G9oSnYptANzX4gDIs1E4WAlktiDy_Fp0QwMULAWpAeWgnoMAf9JGHgQ74EkJMp9O3TgLt7x-uY1F-Objs8wiuuY3Z9Sm6ANhhcRZKY1Dv1yAOkDRC8BcA0Z9qtOm_E2Vtdv_tv5/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
การท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของหลายๆ ประเทศในทวีปเอเชีย (ราว 6% ของจีดีพี) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวตามชายหาดและพักผ่อน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม โดยแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน และจังหวัดเชียงใหม่</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในปี พ.ศ. 2553 มีนักท่องเที่ยวรวม 15.94 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 12.63 โดยมากกว่า 1 ใน 4 เป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-55996754470945450882012-03-29T21:09:00.004-07:002012-04-05T00:00:45.334-07:00ประเทศไทย<br />
<b>ประเทศไทย</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigxQwhJudey47YfKoGn10uC4J8Y20osCd_VOPc5rgBDXfa34n_cz-rC-FCsxfI1dI-uVMPkUF38YctrnuPpe8VtCIIZWjwKujaGVW-IqZVu1pDDV54eNMAYkArw0tigheth5G2dUZX_jT0/s1600/800px-Flag_of_Thailand.svg.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="133" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigxQwhJudey47YfKoGn10uC4J8Y20osCd_VOPc5rgBDXfa34n_cz-rC-FCsxfI1dI-uVMPkUF38YctrnuPpe8VtCIIZWjwKujaGVW-IqZVu1pDDV54eNMAYkArw0tigheth5G2dUZX_jT0/s200/800px-Flag_of_Thailand.svg.png" width="200" /></a></div>
<b><br /></b><br />
<br />
ประเทศไทย หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา มีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 76 จังหวัด<br />
ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน กับทั้งยังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการ ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก อาทิ พัทยา, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกอันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และด้วยจีดีพีของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าราว 334,026 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตามที่ประมาณใน พ.ศ. 2553 เศรษฐกิจของประเทศไทยนับว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 30 ของโลก<br />
ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งต่อมาตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยา อันมีความยิ่งใหญ่กว่า และมีการติดต่อกับชาติตะวันตก แต่ก็ร่วงโรยลงช่วงหนึ่ง อันเนื่องมาจากการขยายอำนาจของพม่านับแต่ พ.ศ. 2054 ก่อนจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง ก่อนเสื่อมอำนาจและล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาอาณาจักรธนบุรี เหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักร ได้นำไปสู่ยุคสมัยของราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ช่วงต้นกรุง ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาหลายฉบับ และการเสียดินแดนบางส่วน กระนั้น ไทยก็ยังธำรงตนมิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด ๆ ต่อมาจนช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร และในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย และไทยได้เข้ากับฝ่ายอักษะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนช่วงสงครามเย็น ไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทหารเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยอย่างมากหลังปฏิวัติสยามอยู่หลายสิบปี กระทั่งมีการตั้งรัฐบาลพลเรือน และเข้าสู่ยุคโลกเสรีในปัจจุบัน<br />
<br />
<b>ชื่อเรียก</b><br />
<br />
คำว่า "สยาม" เป็นคำที่ชาวต่างประเทศใช้เรียกอาณาจักรอยุธยา เมื่อราว พ.ศ. 2000 เดิมทีประเทศไทยเองก็เคยใช้ชื่อว่า สยาม มานับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนใน พ.ศ. 2399 แต่ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" อย่างชาวต่างชาติหรือตามชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในสมัยนั้นเลย ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ชาวอยุธยาได้เรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว<br />
ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ตามประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482) ได้เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ซึ่งจอมพล ป. มีเจตนาต้องการบ่งบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทย มิใช่ของเชื้อชาติอื่น ตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488 แต่ก็ได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน[18] อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษมักถูกจำสับสนกับไต้หวันอยู่บ่อย ๆ<br />
<br />
<b>ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit45xANqomlM6Mlpv7us9qkJb0yn5q9bpR0-kFRxgDszuEvRZy1EPITIiBWQrt3gVuNP2K3VXi7AVjUazc58QJTqxaAgaNR-ZaZgXv4cFXKGq59Qc3i05EjarAe4KwgmHCbSIoWlAyym8Z/s1600/405px-Thailand_BMNG.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit45xANqomlM6Mlpv7us9qkJb0yn5q9bpR0-kFRxgDszuEvRZy1EPITIiBWQrt3gVuNP2K3VXi7AVjUazc58QJTqxaAgaNR-ZaZgXv4cFXKGq59Qc3i05EjarAe4KwgmHCbSIoWlAyym8Z/s320/405px-Thailand_BMNG.png" width="216" /></a></div>
<b><br /></b><br />
<br />
ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลกและเป็นอันดับที่ 3 ในคาบสมุทรอินโดจีน รองจากประเทศอินโดนีเซีย (1,910,931 กม.2) และประเทศพม่า (676,578 กม.2) และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศสเปน (505,370 กม.2) มากที่สุด<br />
ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากแม่น้ำปิงและยมที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มาเลย์ ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ<br />
แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวมักเดินทางมาเยือนเสมอ ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน<br />
<br />
<br />
<b>ช้างเอเชีย (Elephas maximus) สัตว์ประจำชาติไทย</b><br />
<b><br /></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWAocUHyp2tNCsyMQQ-LvDatdfQwMlMIdgZPYMGxBjBtJPa-8PFUr4aNihyphenhyphenTcrgZsK38OL2svVxgFIAuh8w0mxs4eDYECQUQIz1YCbiCzmoGmfYBf77TIzDhY3_wlReFtXoexut3WyMWnO/s1600/750px-Olifant_2.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWAocUHyp2tNCsyMQQ-LvDatdfQwMlMIdgZPYMGxBjBtJPa-8PFUr4aNihyphenhyphenTcrgZsK38OL2svVxgFIAuh8w0mxs4eDYECQUQIz1YCbiCzmoGmfYBf77TIzDhY3_wlReFtXoexut3WyMWnO/s320/750px-Olifant_2.JPG" width="320" /></a></div>
<b><br /></b><br />
<br />
ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34 °C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล: อากาศร้อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อน; ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้และพายุหมุนเขตร้อนเป็นฤดูฝน; ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีนเป็นฤดูหนาว ส่วนภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและร้อน โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน<br />
ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคการเกษตร และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด พื้นที่ราว 29% ของประเทศไทยเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก<br />
<br />
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a><br />
<br />พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-74442918947478788922012-03-29T21:05:00.000-07:002012-04-05T00:16:54.071-07:00ประวัติศาสตร์<br />
<b>ยุคก่อนประวัติศาสตร์</b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
เครื่องปั้นดินเผาซึ่งถูกพบใกล้กับบ้านเชียง สันนิษฐานว่ามีอายุกว่า 2,000 ปี ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในอดีต พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบันได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่าเป็นต้นมา คือ ราว 20,000 ปีที่แล้ว ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและทางศาสนาจากอินเดีย นับตั้งแต่อาณาจักรฟูนัน เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1400</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>อาณาจักรสุโขทัย</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิขะแมร์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้มีรัฐเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไม่นานนัก อาทิ ชาวไท มอญ เขมรและมาเลย์ นักประวัติศาสตร์ไทยเริ่มถือเอาสมัยอาณาจักรสุโขทัย นับตั้งแต่ พ.ศ. 1781 เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งตรงกับสมัยรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรสุโขทัยขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่เริ่มอ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ การรับพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์เข้ามา ทำให้อาณาจักรสุโขทัยเริ่มมีการปกครองแบบธรรมราชา</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZLlc_PBfidK2BfC5igcUXtLOHA9S2hjWblqVKeYEFi6ItdB6EQNDHmhKJY_ddwzVBYkHJkQCMGcUPHzXKsBLq9RN9ZHe94lKg-G81Hg39PJJzLajLgZvBXg8byCH-xefxmXPKh6AV8tiq/s1600/800px-Siamese_envoys_at_Versailles.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="160" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZLlc_PBfidK2BfC5igcUXtLOHA9S2hjWblqVKeYEFi6ItdB6EQNDHmhKJY_ddwzVBYkHJkQCMGcUPHzXKsBLq9RN9ZHe94lKg-G81Hg39PJJzLajLgZvBXg8byCH-xefxmXPKh6AV8tiq/s320/800px-Siamese_envoys_at_Versailles.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรของชนชาติไทยขึ้น ในปี พ.ศ. 1893 มีการปกครองแบบเทวราชา ซึ่งยึดตามหลักของศาสนาพราหมณ์ การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ต่อมา ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ ซึ่งบางส่วนได้ใช้มาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</div>
<div style="text-align: justify;">
โกษาปานนำพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทำให้อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตก ขณะเดียวกัน ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น กระทั่งมีการขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนอง การสงครามอันยืดเยื้อนับสิบปี ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูใน พ.ศ. 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีเพื่อสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่งจากนั้น กรุงศรีอยุธยาได้กลายมาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส, ดัตช์, และอังกฤษ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลซึ่งเพิ่มมากขึ้นของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยา ทำให้พระเพทราชาประหารชีวิตคอนสแตนติน ฟอลคอน ความขัดแย้งภายในทำให้การติดต่อกับชาติตะวันตกซบเซาลง</div>
<div style="text-align: justify;">
อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การสงครามกับราชวงศ์คองบอง (อลองพญา) ส่งผลให้เสียกรุงครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2310 ในที่สุด ทว่า ในปีเดียวกัน พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคนไทยอยู่ 15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325</div>
<div style="text-align: justify;">
ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยเผชิญกับการรุกรานจากชาติเพื่อนบ้านหลายครั้งจนกระทั่งรัชกาลที่ 4 พระราชนโยบายของพระมหากษัตริย์ในช่วงนี้ คือ การป้องกันตนเองจากมหาอำนาจอาณานิคม แต่ก็ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เทคโนโลยีตะวันตก และการศึกษาอันทันสมัย[41]</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การเผชิญหน้ากับชาติตะวันตก</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJ2D77ZMsLcggu85yGNpeAcb-fqeCyJ7QdXVCaugf0Zfo2jIaEv-HdBrk7XM-lAprCPDSHzLJQLLp1Tc-SOapGbG7EH5QBnHx_OwyVFI328O5mEN1rxlIeUG7-vUmrf8LkGdYaoO8pyTkz/s1600/Thailand.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJ2D77ZMsLcggu85yGNpeAcb-fqeCyJ7QdXVCaugf0Zfo2jIaEv-HdBrk7XM-lAprCPDSHzLJQLLp1Tc-SOapGbG7EH5QBnHx_OwyVFI328O5mEN1rxlIeUG7-vUmrf8LkGdYaoO8pyTkz/s320/Thailand.gif" width="187" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษ ระหว่าง พ.ศ. 2393-2451</div>
<div style="text-align: justify;">
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง อันนำมาสู่การทำสนธิสัญญากับชาติอื่น ๆ ด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน หากก็นำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครและการค้าระหว่างประเทศ ต่อมา การคุกคามของจักรวรรดินิยมทำให้สยามเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสและอังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่แม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากชาติมหาอำนาจ สยามก็ยังสามารถธำรงตนเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก หากก็ต้องรับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้าสู่ประเทศอย่างมาก จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาต่อมา และดำรงบทบาทของตนเป็นรัฐกันชนระหว่างประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งสอง</div>
<div style="text-align: justify;">
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมีอธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การเปลี่ยนแปลงการปกครอง สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLvB4B8V_0zaFeTCGcOqOtPKf-CcMDJ2wAiMy1fulvVYRNOvlncG5o_gIIaNfDkf1oL-CptgK0rIAv7c2pPbfo1GJclwUIFqzjMvV0u-oTgwH6rFOBH8HrUYlGMmMsLCsgdLhQZ-SBRlGw/s1600/429px-Prajadhipok's_coronation_records_-_001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLvB4B8V_0zaFeTCGcOqOtPKf-CcMDJ2wAiMy1fulvVYRNOvlncG5o_gIIaNfDkf1oL-CptgK0rIAv7c2pPbfo1GJclwUIFqzjMvV0u-oTgwH6rFOBH8HrUYlGMmMsLCsgdLhQZ-SBRlGw/s320/429px-Prajadhipok's_coronation_records_-_001.jpg" width="229" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของไทย</div>
<div style="text-align: justify;">
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรให้การยอมรับในขบวนการเสรีไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม</div>
<div style="text-align: justify;">
ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค และส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ต่อมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในประเทศ แต่ในภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็กลับอ่อนแอลงจนไม่สามารถปฏิบัติการได้อีก โดยสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี พ.ศ. 2523</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>การพัฒนาประชาธิปไตย</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyTryjF8dhT8NGhea_pSz7Gt32X8vat8AmAK0mFemtNzK3Ce8GHbzN4K9XYNn_VUOLAnQDogyAQUl57hyphenhyphenoIcCehaX1aIwKa1TI80vuVBOAd8Kza64gQYLdiGMl4WeLzqlLufSxirxMUmp_/s1600/14_oct.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="243" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyTryjF8dhT8NGhea_pSz7Gt32X8vat8AmAK0mFemtNzK3Ce8GHbzN4K9XYNn_VUOLAnQDogyAQUl57hyphenhyphenoIcCehaX1aIwKa1TI80vuVBOAd8Kza64gQYLdiGMl4WeLzqlLufSxirxMUmp_/s320/14_oct.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการทหารในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2516 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ยังให้มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรก[ต้องการอ้างอิง] ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารกว่าสิบครั้ง อย่างไรก็ดี มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญถึงสองครั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลา และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงมั่นคงยิ่งขึ้น[ต้องการอ้างอิง]</div>
<div style="text-align: justify;">
ช่วงพุทธทศวรรรษ 2540 ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่อมา ทักษิณ ชินวัตรได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด โดยได้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจจนประสบผลหลายอย่าง แต่ก็ตกเป็นที่กล่าวหาอย่างกว้างขวางเช่นกัน ช่วงนี้เองที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น ใน พ.ศ. 2549 มีรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2550 ทำให้ประเทศกลับเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยอีกครั้ง</div>
<div style="text-align: justify;">
วิกฤตการณ์การเมืองนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มมวลชนสองกลุ่ม คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ กลุ่มแรกชุมนุมประท้วงรัฐบาลทักษิณ เรื่อยมาถึงรัฐบาลสมัครและสมชาย โดยมีการชุมนุมใหญ่ในห้วง พ.ศ. 2551 ส่วนกลุ่มหลังชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ระหว่าง พ.ศ. 2552-2554 โดยมีการชุมนุมที่มีการเสียชีวิตถึง 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2552 และ 2553 ล่าสุด การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2554 ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a></div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-88965376929251643792012-03-29T20:27:00.001-07:002012-04-05T00:19:03.974-07:00ไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/CuRLUcHjRlI" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
อ้างอิง
http://www.youtube.com/watch?v=CuRLUcHjRlIพุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4010496250479041757.post-35038293875514581452012-03-29T20:22:00.000-07:002012-04-05T00:55:53.547-07:00การเมืองการปกครองและรัฐบาล<br />
<div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>การเมืองการปกครองและรัฐบาล</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHkpGKPvZeFz0byTMLCVgr1vmPmKKfvgvq60wtA9EzR67-p9K41-TNgEsx9sZ91st6FbhM1akpfqV_HO6GtwOT6INx_NCvKAyLBmHwVeur9NkV4P1Od7a7SsdgydUo_vHPFPopPI3flJSe/s1600/Thai_supreme_court.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHkpGKPvZeFz0byTMLCVgr1vmPmKKfvgvq60wtA9EzR67-p9K41-TNgEsx9sZ91st6FbhM1akpfqV_HO6GtwOT6INx_NCvKAyLBmHwVeur9NkV4P1Od7a7SsdgydUo_vHPFPopPI3flJSe/s320/Thai_supreme_court.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เดิมประเทศไทยมีการปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งมีการปกครองในลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเด็ดขาดตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[47] ครั้นวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ปฏิวัติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบในปัจจุบัน</div>
<div style="text-align: justify;">
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเรียกรวมกันว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นฉบับที่ 18 อันกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSUQLSNqf7EFmapGZj5yrU6oUy-qK0RUrn7fpeqeMDZ4y38UD6fI5RZ_h9Oq2mop2mp8FROvgMUkTogMQkFCfnl1cwBuL3N033PBCuGf0oqd0ZSYIQ3Dfip5Whm4XYIn499rDZVLF66SBG/s1600/Senator_cover.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="181" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSUQLSNqf7EFmapGZj5yrU6oUy-qK0RUrn7fpeqeMDZ4y38UD6fI5RZ_h9Oq2mop2mp8FROvgMUkTogMQkFCfnl1cwBuL3N033PBCuGf0oqd0ZSYIQ3Dfip5Whm4XYIn499rDZVLF66SBG/s320/Senator_cover.png" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<ul>
<li> อำนาจนิติบัญญัติ มีรัฐสภาในระบบสองสภา อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา มีสมาชิกรวมกันทั้งสิ้น 630 คน เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานรัฐสภาเป็นประมุขแห่งอำนาจ</li>
<li>สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจำนวน 375 คน และมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 125 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี</li>
<li>วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (รวมกรุงเทพมหานคร) และมาจากการสรรหา 73 คน โดยมีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา 7 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และไม่สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาติดต่อกันเกิน 1 วาระ</li>
<li>อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ตามคำกราบบังคมทูลของประธานรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี เป็นองค์กรบริหารอำนาจ นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจ</li>
<li>นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ตามสภาผู้แทนราษฎร และไม่สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้เกิน 8 ปี นายกรัฐมนตรีมิได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ได้รับการลงมติเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎร</li>
<li>คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน</li>
<li>อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน</li>
</ul>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>การแบ่งเขตการปกครอง</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น (1) ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง, ทบวง และกรม (2) ราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัด 76 แห่ง, อำเภอ 878 แห่ง และตำบล 7,255 แห่ง และ (3) ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบล, กรุงเทพมหานคร และ เมืองพัทยา สำหรับสุขาภิบาลนั้นถูกยกฐานะไปเป็นเทศบาลทั้งหมดในปี พ.ศ. 2542</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>เมืองใหญ่และจังหวัดใหญ่</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGXPH6RdYSKWWQqh5Ou7eSyku7YEq1e_DNQvNSFtkFs9-ERk2Ow7btmj0siPYcu7LioGAwZvbyqZ3NQq69Twf_B_ngr1QrXNXtSNzXCz58oB_-n04BkE_vcvbsmEeVNgaF_pMkX84lZQg-/s1600/400px-Map_TH_provinces_by_geographic.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGXPH6RdYSKWWQqh5Ou7eSyku7YEq1e_DNQvNSFtkFs9-ERk2Ow7btmj0siPYcu7LioGAwZvbyqZ3NQq69Twf_B_ngr1QrXNXtSNzXCz58oB_-n04BkE_vcvbsmEeVNgaF_pMkX84lZQg-/s640/400px-Map_TH_provinces_by_geographic.png" width="425" /></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f9f9f9; font-family: sans-serif; font-size: 11px; line-height: 15px; text-align: left;">การแบ่งภูมิภาคของประเทศไทยโดยใช้เกณฑ์อย่างเป็นทางการของ</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: #f9f9f9; background-image: none; background-origin: initial; color: #0b0080; font-family: sans-serif; font-size: 11px; line-height: 15px; text-align: left; text-decoration: none;" title="ราชบัณฑิตยสถาน">ราชบัณฑิตยสถาน</a> </div>
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="" style="color: black; font-family: sans-serif; font-size: 11px; line-height: 15px; text-align: left; width: 216px;"><tbody>
<tr><td align="left" valign="top" width="50%"><div>
<span style="background-color: #dcbcd9; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคเหนือ (ประเทศไทย)">ภาคเหนือ</a></div>
<div>
<span style="background-color: #e0d5b8; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคอีสาน (ประเทศไทย)">ภาคอีสาน</a></div>
<div>
<span style="background-color: #e2e1b6; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคกลาง (ประเทศไทย)">ภาคกลาง</a></div>
</td><td align="left" valign="top" width="50%"><div>
<span style="background-color: #d0d9bf; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคตะวันออก (ประเทศไทย)">ภาคตะวันออก</a></div>
<div>
<span style="background-color: #c0c0d8; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคตะวันตก (ประเทศไทย)">ภาคตะวันตก</a></div>
<div>
<span style="background-color: #bbdddc; border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-image: initial; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; display: inline-block; height: 1.5em; margin-bottom: 1px; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 1px; text-align: center; width: 1.5em;"> </span> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-color: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; color: #0b0080; text-decoration: none;" title="ภาคใต้ (ประเทศไทย)">ภาคใต้</a></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
รายชื่อจังหวัดซึ่งมีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย (31 ธันวาคม พ.ศ. 2553) [56]</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อันดับ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เขตการปกครอง / จังหวัด<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>จำนวนประชากร</div>
<div style="text-align: justify;">
—<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> กรุงเทพมหานคร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 5,701,394</div>
<div style="text-align: justify;">
1<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> นครราชสีมา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 2,582,089</div>
<div style="text-align: justify;">
2<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> อุบลราชธานี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,813,088</div>
<div style="text-align: justify;">
3<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ขอนแก่น<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,767,601</div>
<div style="text-align: justify;">
4<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เชียงใหม่<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,640,479</div>
<div style="text-align: justify;">
5<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> บุรีรัมย์<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,553,765</div>
<div style="text-align: justify;">
6<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> อุดรธานี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,544,786</div>
<div style="text-align: justify;">
7<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> นครศรีธรรมราช<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1,522,561</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
รายชื่อเขตปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย ตามทะเบียนราษฎร</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อันดับ เขตการปกครอง / จังหวัด<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> จำนวนประชากร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> พื้นที่ (ตร. กม.)</div>
<div style="text-align: justify;">
1<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> กรุงเทพมหานคร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 5,701,394 (31 ธันวาคม 2553) 1,568.73</div>
<div style="text-align: justify;">
2<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 260,555 (เมษายน 2554) 38.9</div>
<div style="text-align: justify;">
3<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 168,763 (1 มกราคม 2551) 36.04</div>
<div style="text-align: justify;">
4<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา162,523 (ตุลาคม 2554) 37.50</div>
<div style="text-align: justify;">
5<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 157,682 (กันยายน 2551) 21.00</div>
<div style="text-align: justify;">
6<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 141,953 (30 มกราคม 2553) 47.70</div>
<div style="text-align: justify;">
7<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> เทศบาลนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 141,361 (มกราคม 2554) 40.216</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อ้างอิง <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2</a></div>
</div>
<div>
</div>พุธวัน ขุนคำhttp://www.blogger.com/profile/15455991629493411360noreply@blogger.com0